วันศุกร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2551

ตอบจดหมายจากแดนไกล


To my dear
I was very glad to read e-mail all time I wonder that you love me or not but after I departure to Japan I know you love me too.Now I use internet at internet cafe sorry for not call to u for chat. Today I very lonely in hotel and miss u so much I want you beside me. You know 52 days to leave away from my love is lonely and hard to explajn. I can't tell u I'm miss u and lonely much more when stay without you. Ok it's time to sleep, wish you have good dream and thinking of me na krab. Know I love u always. take care yourself and miss me.
Your babe

Fukuoka Japan


---------------------------
ที่รัก


ฉันก็คิดถึงคุณมากๆเหมือนกัน จากที่อ่านเมล ทำให้ฉันคิดอะไรออก อย่างหนึ่งคือ
ภาษาไทยมีปัญหาในการอธิบายความรู้สึกออกมาให้ฟังดูไม่เลื่ยนเอียน การที่ใช้ภาษาอังกฤษทำให้ความรู้สึกเวลาอ่านมันromanticizedมากกว่า ภาษาไทย

จะบอกว่า " การอยู่ห่างๆคนรักมันช่างเปล่าเปลี่ยว และยากเกิดจะอธิบายได้ " ( to leave away from my love is lonely and hard to explain ) มันดูเก่า เชย พ้นสมัย มากกว่าภาษาอังกฤษเป็นไหน ด้วยเหตุนี้ฉันจึงรู้สึกว่า ภาษาอังกฤษสมควรเป็นภาษาสากลมากกว่า ไม่ใช่เพราะการล่าอาณานิคมอย่างเดียว แต่เป็นเพราะความลื่นหูของภาษาด้วยว่าไหม

อย่างคำว่า love เรามักเห็นเด็กมือบอนเขียนหลังเบาะรถเมล์มากกว่าคำว่า "รัก" ทั้งที่เด็กกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่ไม่นิยมใช้ภาษาอังกฤษเท่าคนมือไม่บอน แต่คำว่า love มันน่าอ่านน่าเขียน และให้ความรู้สึกละมุนละไมมากกว่า อันนี้ฉันว่าไม่น่าจะใช่ว่าเราต้องแปลมันอีกทอดหนึ่งหรอกนะ

แต่คำว่า “รัก” โดดๆ มันช่างดูเเข็งทื่อ เหมือนถูกแช่เย็น เหมือน ฉากเข้าพระเข้านางในละครหลังข่าวช่อง7สี ยังไงยังงั้น

ด้วยเหตุนี้เองมั้งที่รักอยู่ตัวโดดๆ ในmessage ไม่ได้ ต้องมีคำขยาย อย่าง “รักนะ จุ๊บๆ” หรือ “รักนะ เด็กโง่” ที่วัยรุ่นชอบใช้กัน

เหมือนหนังต่างชาติเรื่องอะไรที่เข้ามาในไทย ที่มักจะเป็นคำเดียว แต่มักจะถูกแปลออกมาเป็นวลี เป็นประโยค เพื่อความเข้าใจในบุคลิกของหนัง มากกว่าจะเป็นคำไม่กี่พยางค์ลอยๆ เราจึงดูหนังเรื่อง Prestige ในนามของ “ศึกมายากลหยุดโลก” และอยู่ในคอนโดที่ชื่อ The Room ไม่ใช่ “ห้อง”

ที่ฉันร่ายยาวอย่างนี้ เพราะไม่รู้จริงๆว่าจะพรรณนาความรู้สึกของตนเองออกมาเป็นภาษาไทย ให้มันไม่เลี่ยนเอียนยังไง แต่ฉันก็ไม่สามารถเขียนเป็นภาษาอังกฤษได้ยืดยาว เพราะไม่เก่งพอ เพราะฉะนั้น การเพ้อเจ้อเรื่อยเจื้อยของฉัน จึงเป็นการระบายความคิดถึงที่มีต่อคุณที่ง่ายที่สุด
รักและคิดถึงมากกกกก...
ที่รักของคุณ

สยามประเทศ


ปล. ถ้าถึงประเทศไทยแล้วกลับมาบ้านเรา ซื้อแปรงสีฟันอันใหม่ด้วยนะ เพราะแปรงของคุณ ฉันเอามาใช้แปรงฟันตัวเองเรียบร้อยเเล้ว เพราะไม่รู้จะทำยังไงดีที่จะรู้สึกว่ามี"ของ"คุณอยู่ในปากฉัน

วันพฤหัสบดีที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2551

“การเปลี่ยนแปลงสังคม ความสุข และ ศาสนา”

“ความสุขและการเปลี่ยนแปลงสังคม” ฉันนั่งทบทวนชื่อหัวข้อที่จะต้องเขียน วกไปวนมา8-9 เที่ยว เกี่ยวกับ ทั้ง 2 คำว่ามันสัมพันธ์กันหรือขัดแย้งกัน

ถ้าให้คิดง่ายๆ ตามสไตล์ยัปปี้ การเปลี่ยนบรรยากาศเปลี่ยนแหล่งนัดพบเพื่อนฝูงหรือร้านกาแฟหลังเลิกเรียนเลิกงานย่อมดีกว่าอยู่กับแหล่งเดิมๆซ้ำซากจำเจ การเปลี่ยนมือถือบ่อยๆก็ย่อมนำมาซึ่งความพึงพอใจมากกว่าใช้เครื่องเดิมๆ การใส่เสื้อผ้าใหม่ๆ เปลี่ยนทรงผมอยู่เสมอย่อมได้รับคำชมและความสนใจกว่า และถ้าหากเชื่อตามนักสถิติ เกี่ยวกับอัตราการย้ายถิ่น ที่ผู้ย้ายถิ่นส่วนใหญ่ย่อมย้าย เพื่อการเป็นอยู่ที่ดีกว่า อุดมสมบูรณ์กว่า รายได้ที่ดีกว่า คุณภาพชีวิตที่ดีกว่า ความขัดแย้งทางการเมืองหรือสงครามน้อยกว่า เพราะฉะนั้นอาจกล่าวได้ว่า ความเปลี่ยนแปลงเป็นฉนวนนำความสุข

เช่นเดียวกับครอบครัวฉันที่พ่อกับแม่ย้ายทะเบียนบ้านจากชนบทที่รายได้ไม่แน่นอนขึ้นอยู่กับสภาวะทางธรรมชาติ ที่มีความพอเพียงเฉพาะพอกินแต่ไม่พอเก็บเผื่อลูกๆในอนาคต มาทำงานที่รายรับสูงกว่ามั่นคงกว่า ในเมืองที่มีรถไฟฟ้า รถไฟใต้ดิน เมืองที่มีมหาวิทยาลัยชั้นนำของประเทศให้ลูกๆได้เล่าเรียน เมืองที่น้ำไหลไฟสว่างกว่า เมืองที่เข้าถึงความรู้และทรัพยากรต่างๆของโลกอย่างง่ายดายกว่า เมืองที่เดินเหินในยามคืนค่ำโดยไม่ต้องกลัวงูเงี้ยวเขี้ยวขอทำอันตราย เมืองที่หาและเปลี่ยนคู่นอนได้สะพรัดกว่า เมืองที่เมื่อยามป่วยไข้ไม่ต้องพึ่งผีสางและความศรัทธา เมืองที่ความตายไม่ได้มาจากผีแม่ม่ายหรือเจ้าป่าเจ้าเขา เมืองที่ไม่ได้เป็นที่สิงสู่ของผีเปรตเจตภูต ทว่าเต็มไปด้วยเทพเทวดา อย่างกรุงเทพมหานคร

ครอบครัวฉันไม่ได้เปลี่ยนแปลงแค่สถานที่ ย้ายมาอยู่ในย่านที่ไม่เคยทุกข์ระทม โศกาอาดูร อย่าง “อโศก” แต่ยังเปลี่ยนแปลงรูปแบบของครอบครัวอีกด้วย จากครอบครัวขยายมาสู่ครอบครัวเดี่ยว ซึ่งมันไม่ได้ก่อให้เกิดความทุกข์แต่อย่างใด ซ้ำกลับเข้าได้ดีกับบริบทของสังคมที่ฉันอยู่ สังคมที่องค์ความรู้และทรัพยากรที่สำคัญไม่ได้อยู่ติดบ้าน แต่กลับอยู่บนพื้นที่สาธารณะ ต้องอาศัยการเดินทางผ่านฝูงชนมากมายคลาคล่ำ ด้วยเวลาที่เร่งรีบ การยกโขยงกันไปทั้งครอบครัวใหญ่ มีสมาชิกหลายๆคน ทั้งคนเฒ่าคนแก่ติดสอยห้อยตามไปด้วย ย่อมเป็นอุปสรรคในการเข้าถึง อีกทั้ง การที่มีญาติผู้ใหญ่อย่าง ตายาย ลุงป้าน้าอา มาอยู่ในบ้านการจะจิกใครสักคนที่เพิ่งไปเจอกันตามผับบาร์มาหลับนอนด้วย ย่อมเป็นไปได้ยาก หรือแทบเป็นไปไม่ได้เลย
ฉะนั้นอดีตครอบครัวขยายแบบฉันจึงมักกลับบ้านต่างจังหวัดเพื่อไปพบญาติๆเนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่หรือวันหยุดยาวๆ และกิจกรรมที่มักประกอบร่วมกันเพื่อสร้างความทรงจำร่วมตามสถาบันครอบครัวในอุดมคติเกษตรกรชาวพุทธก็คือ การไปทำบุญที่วัด ไม่ว่าจะทำบุญถวายพระ หรือผีบรรพบุรุษก็ตาม

หลังจากที่เราถวายสังฆทานและฟังพระสงฆ์ท่องบ่นบาลีที่ทั้งฟังและแปลไม่รู้เรื่อง ( ซึ่งช่วยให้แลดูขลังและศักดิ์สิทธิ์ขึ้นเยอะ ) เจ้าอาวาสก็ถามพ่อแม่ฉันว่า “โยมเป็นอย่างไรบ้าง ไปอยู่กรุงเทพ สุขสบายดีไหม” พระปุจฉาด้วยคำถามคล้ายๆ How are you ? ของชาวตะวันตกคริสเตียนผิวขาว ฉันได้แต่สงสัยว่าพระสงฆ์รูปนี้ สังกัดศาสนาอะไร ศาสดาของเขาเองบอกอยู่โทนโท่ว่า สรรพสิ่งเกิดมาเพราะมีกรรมยังต้องเวียนว่ายตายเกิด ทุกชีวิตจึงล้วนเป็นทุกข์

ฉันเกิดมาในครอบครัวพุทธศาสนาที่เชื่อว่าศาสนิกทั้งหลายเกิดมาเพื่อชดใช้กรรม ซึ่งเองฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าไปสร้างวีรกรรมวีรเวร ก่อหนี้ก่อกรรมกับใครไว้เมื่อไร แต่โชคดีที่ศาสนานี้ให้คำตอบแบบเข้าใจง่ายว่า “เมื่อชาติที่แล้วของเอ็งไง” แล้วชาติที่แล้วฉันเกิดเป็นอะไร “ ชาติที่แล้วแอบเกี้ยวพาราสีพลอดรักกันในวัด ชาตินี้เลยอาภัพเรื่องผู้ชาย” “ชาติที่แล้วของฉันสมัยไหนเจ้าคะ สมัยมีรัฐชาติหรือยัง หรืออยู่ในสมัยที่ยังไม่มีชนชั้นกลาง เท่าที่รู้มาวัดเป็นพื้นที่พบปะผู้คนในชุมชน วันสงกรานต์วันลอยกระทง เขาก็ให้หนุ่มสาวได้มาพบปะทำความรู้จักกันภายใต้การควบคุมสอดส่องของผู้ใหญ่และศาสนาไม่ใช่หรอคะ ถ้าไม่ให้อิฉันเล่นหูเล่นตาหาหนุ่มๆในวัด แล้วจะรอให้มันมาดักปล้ำกลางทางระหว่างไปทุ่งอย่างเดียวรึไงเจ้าคะ ” เรื่องเถียงพระสงฆ์องค์เจ้าไม่มีใครเกินฉันหรอก

จนดูเหมือนจะเป็นเรื่องปรกติไปแล้ว ที่เวลาไปวัด ฉันมักถูกพระทักไปต่างๆนานว่า เมื่อชาติก่อนฉันเคยเป็นไพร่บ้าง เป็นทาสบ้าง เป็นเมียทหารพระเจ้าตากที่ช่วยพระองค์ในการหลบหนีไปบวชที่ถ้าเขาขุนพนม จังหวัดนครศรีธรรมราชบ้าง เป็นนางฟ้าบนดาวดึงส์ที่ถูกสาปบ้าง ทำไมไม่เคยมีใครทักว่าชาติที่แล้ว ฉันคือมาดาม มารี คูรี่ ซีโมน เดอร์ โบวัว ดัชเชสแห่งกลอสเตอร์ เมียลับๆของเลนิน ไม่ก็ลูกสาวหัวหน้าเผ่าอินคาที่มาชูปิคชูบ้างเลย

แต่เรื่องที่ไม่ปรกติ ( สำหรับฉัน ) คงจะเป็น “สุขสบายดีไหม” ของเจ้าอาวาสนี่แหละ ที่เล่นเอาฉันฉงน ทุกข์ใจมากกว่าเดิม หรือว่าบางที่พระรูปนี้อาจจะเป็นพุทธศาสนา นิกาย modernism ที่ชอบการเปลี่ยนแปลง เชื่อว่าการเปลี่ยนแปลง การปฏิวัติ จะนำมาซึ่งความเจริญ รุ่งเรื่อง และอะไรใหม่ๆซึ่งย่อมดีกว่าของเก่าๆ
แต่สำหรับศาสนาพุทธ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นิกายเถรวาท นิกายที่ยึดถือวาทะของเถระ เชื่อตาม “คำสั่ง” และ “คำสอน” ของพระอาวุโส ไม่ยอมเปลี่ยนแปลงแก้ไขตามสภาพและบริบทของสังคม เพราะการแก้ไข เปลี่ยนแปลงวาทะของเถระในอดีต ไม่เพียงแต่เป็นการลบหลู่คำสั่งสอน แต่ยังทำให้คำสอนนั้นเสื่อม และนำไปสู่ความเรียวลงของศาสนา

ยิ่งการแปรเปลี่ยน ความไม่เที่ยง เป็นอนิจจัง การไม่สามารถคงทนอยู่ได้ เป็นทุกขัง ฉะนั้น การดับทุกข์และตัดสายธารแห่งความเสื่อมที่ประสิทธิผลที่สุดก็คือ การไม่พยายามเปลี่ยนแปลงอะไรเลย เท่ากับ การนิพพาน ที่ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิด เปลี่ยนชาติภพไปเรื่อยเปื่อย กลายเป็นอนัตตา ที่ปราศจากตัวตน

ธรรมะ วิชาความรู้ และระเบียบวินัย ( Discipline ) ของพุทธจึงถูกสถาปนาให้เป็นสิ่งสากล ธรรมะกลายเป็นสิ่งเดียวกับธรรมชาติ เป็นความจริงสูงสุด ที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงแก้ไขได้ เสมือนนิพพาน disciplineแบบนี้จึงไม่ต่างไปจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เป็นชุดความรู้ที่ถูกเปล่งออกมาจากพระโอษฐ์ของพระผู้เป็นเจ้า เป็นวิชาที่ผีมอบให้หรือศาสตร์ที่เทวดาประทานมา และเป็นหลักธรรมที่อริยบุคคลชนชั้น “เจ้า” ที่ปลีกวิเวกนั่งหลับตาให้ต้นไม้แล้วเกิดพุทธิปัญญาขึ้นมาเอง

ความรู้แบบพุทธ จึงเป็นความรู้ที่ไม่สามารถสืบหาแหล่งที่มาหรือเอกสารอ้างอิงได้ และยิ่งเมื่อเชื่อว่า ความรู้สูงสุดคือความว่างเปล่าไม่มีตัวตน ก็ยิ่งทำให้ความรู้นั้นไม่สามารถตรวจสอบได้ เมื่อตรวจสอบไม่ได้ ความรู้นั้นจึงไม่โปร่งใส คลุมเครือ ยากแก่การเข้าถึง ด้วยเหตุนี้ ตลอด2550 กว่าปีที่ผ่านมา เราจึงมีอริยบุคคลเพียงคนเดียวที่สามารถเข้าถึงองค์ความรู้นั้นได้ก็คือคนเดียวกับที่ผลิตความรู้นั้นขึ้นมา

การสร้างหอไตรกลางบ่อน้ำ จึงไม่เพียงแต่จะป้องกันความรู้จากอัคคีภัยและแมลงกัดแทะ แต่ยังป้องกันไม่ให้คนได้เข้าถึงอีกด้วย
ความรู้ทางศาสนาถูกวางให้พ้นมือศาสนิก อย่างน้อยที่สุดก็ทำให้ยากแก่การเข้าถึง ช่วยทวีความไม่โปร่งใสให้ดำมืดลึกลับน่าสนใจอยู่ตลอดเวลา รวมไปถึงช่วยให้ความรู้ศักดิ์สิทธิ์มากขึ้น ลอยตัวอยู่เหนือสรรพสิ่ง มีเสถียรภาพไม่ถูกแก้ไข เปลี่ยนแปลง

ทั้งที่จริงแล้ว ทุกศาสนาล้วนถือกำเนิดมาเพื่อเปลี่ยนแปลง เพราะอย่างน้อยที่สุด บรรดาศาสดาทุกคนต่างก็พยายามปฏิวัติสังคมด้วยการป่าวประกาศทฤษฎีแนวคิด “ใหม่ๆ” ในยุคสมัยนั้น และหาศิษย์และสาวกเพื่อเป็นกองกำลังหนุนให้กับวาทกรรมของตน อีกทั้งศาสนาเองก็มีกำเนิดมาจากการเปลี่ยนแปลงเช่นกัน เมื่อมนุษย์เริ่มเพาะปลูก แทนการเก็บของป่าล่าสัตว์ ทำให้มนุษย์เริ่มมีศาสนา ฉะนั้น ศาสนาจึงมีฐานะไม่ต่างไปจากความทุกข์มากนัก เพราะต่างก็เป็นประดิษฐกรรมแห่งการเปลี่ยนแปลง
การเพาะปลูกไม่ได้ทำให้มนุษย์ได้แค่พืชผล แต่ยังทำให้มนุษย์ได้หน้าที่ใหม่คือการผลิต ทั้งการผลิตพืชผัก และการผลิตแรงงานในการผลิตพืชผัก หรือจะพูดง่ายๆคือ การร่วมเพศกัน เพื่อให้เกิดลูกออกหลานช่วยกันทำไร่ไถนาแต่ถึงกระนั้นศาสนา ที่ถือว่าเป็นผลผลิตจากการที่มนุษย์รู้จักการเพาะปลูกเหมือนกันก็ไม่ได้พิสมัยกับการผลิตประเภทนี้เท่าไรนัก

เพราะศาสนาถือว่า การร่วมเพศความกำหนัดเป็นโลกียอารมณ์กิเลสตัณหา ต้นเหตุแห่งความเสื่อม ทำให้ “ร้อยรัดพัดกระพือให้กระวนกระวายใจ” อีกทั้งยังก่อให้เกิดชีวิต ที่ชีวิตล้วนแล้วแต่มีทุกข์ มีเวรมีกรรม ถึงได้ถือกำเนิดขึ้นมา และเมื่อการดับทุกข์ทางศาสนาก็คือ นิพพาน ไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิด เป็นอนัตตา เป็นความว่างเปล่า ที่ไม่มีชีวิตตัวตนดำรงอยู่ ซึ่งการงดร่วมเพศก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่จะไม่ต้องให้มนุษย์เกิดขึ้นมารับทุกข์เข็ญอีก
แม้ศาสนาจะไม่ถูกกันกับการผลิต แต่กลับสนิทสนมและไปกันได้ด้วยดีกับชนชั้นเจ้า ที่เสมือนพี่น้องคลานตามกันมากับศาสนา เพราะระบบชนชั้น นักปกครองและผู้ปกครอง ล้วนถือกำเนิดมาจากการเกษตรเช่นเดียวกัน เนื่องจากมนุษย์มีการเพาะปลูก ต้องเร่งผลิตแรงงาน ประชากรจึงเพิ่มขึ้น เกิดเป็นชุมชน เป็นสังคมที่มีระบบและความซับซ้อน มีการแบ่งงาน สะสมผลผลิต และจัดลำดับชนชั้นทางสังคม มีการสร้างเมือง เกิดชนชั้น“เจ้า” และเมื่อถึงจุดนี้ สงครามจึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพราะว่ามันช่วยขยายพื้นที่และแรงงานในการผลิต

ด้วยเหตุนี้ศาสนาและสงครามจึงควบคู่กันมาตลอด อย่างน้อยที่สุดศาสนาก็คือการทำสงครามกับกิเลส ตัณหา ปราบปรามความทุกข์และหยุดการเปลี่ยนแปลง ซึ่งไปด้วยกันได้ดีกับนักรบ นักปกครอง เพราะศาสนาไม่เพียงสร้างเสถียรภาพให้เกิดการเปลี่ยนแปลงน้อยที่สุดให้กับนักปกครอง ( เพราะการเปลี่ยนแปลงของเจ้าผู้ปกครอง ย่อมหมายถึงความตาย การผลัดแผ่นเดิน หรือช่วงชิงราชบัลลังค์ ) แต่ยังสร้างความชอบธรรมให้กับสงครามอีกด้วย
เนื่องจากการทำสงคราม อีกนัยหนึ่งก็คือการเผยแพร่ศาสนา เพราะว่าการที่จะปกครองประเทศราชที่มากมายและหลากหลายวัฒนธรรมให้ง่ายนั้น นักรบผู้ปกครองก็ต้องทำให้มีศูนย์รวมศรัทธาร่วมกัน เคารพในสิ่งเดียวกัน มีวัฒนธรรมพีกรรมร่วมกัน มีผีหรือพระเจ้าตนเดียวกัน ซึ่งผีหรือพระเจ้านั้นก็ต้องเป็นตนเดียวที่ผู้ปกครองเชื่อถือศรัทธา ดังที่พระเจ้าอโศกพยายามให้เมืองใต้อาณัติของพระองค์นับถือพุทธศาสนา ดังนั้นศาสดากับกษัตริย์จึงแยกจากกันไม่ขาดเสียทีเดียว ดังที่ พราหมณ์ทั้ง 7 คนได้ทำนายพระพุทธเจ้า สมัยที่ยังเป็นกุมารสิทธัตถะว่า หากได้ถือเพศฆราวาสจะได้เป็นมหาจักรพรรดิที่ยิ่งใหญ่ ปราบปรามและปกครองแว่นแคว้นมากมาย หากออกบรรพชาจะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า คอยสั่งสอนเวไนยสัตว์ เป็นศาสดาเอกแห่งโลก

ด้วยเหตุนี้ “เจ้า” ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น พระเจ้า พระพุทธเจ้า รวมไปถึงพระเจ้าอยู่หัว ต่างก็ไม่โปรดกับการเปลี่ยนแปลงเท่าไรนัก เพราะมันไม่ได้นำมาซึ่งความสุข รังแต่จะให้สถาบันของตนเสื่อม เรียวลง และจุดจบ การเปลี่ยนแปลงเนื้อหาเพียงเล็กน้อยของหลักธรรม ก็ทำให้เกิดการแตกแยกเป็นนิกายต่างๆ การเปลี่ยนแปลงการการปกครอง ก็กลายเป็นอวสานของกษัตริย์ ไม่ว่าจะเป็นตัวบุคคลหรือในระดับสถาบัน

การที่พยายามไม่ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของ “เจ้า” นั้น ทำให้เจ้าไม่ยอมแสดงอากัปกิริยา ที่สะท้อนถึงความเปลี่ยนแปลงด้วยเช่นกัน เราจึงไม่เคยเห็นพระพุทธรูปในเวอร์ชั่น แก่ชรา แม้แต่ในตอนที่ปรินิพพานในวัย 80 สาธารณชนจึงไม่เคยเห็นชนชั้นสูง แสดงอารมณ์ที่แปรปรวน ไม่ว่าจะเศร้า โมโห ริษยา หัวร่องอหาย เพราะยิ่งเปิดเผยความเปลี่ยนแปลงและอารมณ์ความรู้สึกมากเท่าไร ก็ยิ่งถูกเข้าใจและเข้าถึงได้มากเท่านั้น ซึ่งจะทำให้ความศักดิ์สิทธิ์และความน่าเชื่อถือลดน้อยลง

ดังนั้นผู้ที่ “นิ่ง” ดูสุขุมเยือกเย็น คัมภีรภาพ น่าเคารพเชื่อถือมากกว่า คนที่ กระโตกกระตาก กระดี๊กระด๊า และอารมณ์แปรปรวน และด้วยเหตุนี้ “cool” จึงแปลได้กับคำว่า เจ๋งหรือเท่

และในสังคมที่เชื่อและเคารพผู้อาวุโส เรียงคุณค่าของบุคคลตามลำดับก่อนหลัง ผู้ที่เกิดก่อนย่อมศักดิ์สิทธิ์และทรงอิทธิพลกว่าผู้มาใหม่ บุคลิกลักษณะที่นิ่งเงียบจึงได้รับการยอมรับว่าเป็น “ผู้ใหญ่” ขณะที่อารมณ์ที่แปรปรวน ขึ้นๆลงๆ กลายเป็นคุณลักษณะของเด็กและวัยรุ่น ซึ่งวาทกรรมดังกล่าวถูกสร้างความชอบธรรมด้วยองค์ความรู้ของแพทย์และนักจิตวิทยา

เมื่อผู้ที่นิ่งกว่า ไม่ไหวติงหรือแสดงอารมณ์ความรู้สึก ย่อมน่ายำเกรงกว่า ผู้ที่แน่นิ่งหรือตาย ย่อมได้รับการเคารพและกราบไหว้มากกว่าผู้ที่ยังเป็นๆอยู่ แม้ว่าศพนั้นจะเป็นเด็กวัยรุ่นหรือทารกก็ตาม ความตายจึงเป็นตัวเปลี่ยนผ่านความไม่น่าเชื่อถือสู่ความน่าเชื่อถือ นอกจากนี้ยังพลาสเจอไรท์ให้กับผู้ตายอีกด้วย แม้ว่าศพนั้นจะตายเพราะไปปล้นฆ่าใครจนโดนวิสามัญฆาตกรรม หรือพรานล่าสัตว์ถูกเสือขบกัดตาย หนังสืองานศพของพวกเขาก็จะถูกเล่าคุณงามความดีในประวัติเสียหยดย้อย

ความตายนั้นช่วยให้คนจิตนาการและใฝ่ฝันถึงการเกิดใหม่ ชาติภพหน้าที่ดีกว่าปัจจุบัน เพราะ ศาสนิกหลายคนเชื่อในพระเจ้า500ชาติ พระเจ้า 10 ชาติ ต้องการสั่งสมบุญเพื่อชาติถัดไปให้ใกล้ถึงนิพพานยิ่งขึ้น ชาติ “ใหม่” ที่เกิดมาย่อมเป็นชาติที่ “ดี” กว่าชาติเก่า
และคริสต์ศตวรรษที่ 15 เป็นต้นมา “ความสมัยใหม่” / modernity / modernism ( ที่พยายามปลดแอกมวลมนุษยชาติออกจากศาสนาความเชื่อที่ตรวจสอบหรือพิสูจน์ไม่ได้ คลุมเครือ ไม่โปร่งใสและไม่เป็นวิทยาศาสตร์ ) ได้ถือค่อยๆเป็นรูปเป็นร่างมากขึ้น ความคิดที่ว่าการเปลี่ยนแปลงย่อมนำไปสู่สิ่งที่ดีกว่า สิ่งใหม่ย่อมนำมาซึ่งความเป็นอยู่ที่ดีกว่าและเติมเต็มความสุขสมได้กว่ามากสิ่งเก่าก็ชัดเจนขึ้น อะไร “ใหม่ๆ” จึงเป็นสิ่ง “ดี” ซึ่งได้รับการยอมรับและต้องการจากสังคม แม้ว่าจะไม่ขลัง “cool” แต่มันก็ “hot” ชนิดที่ว่า “มีอะไรใหม่ๆไหม” เป็นประโยคติดปากของใครหลายคนเหมือน “สุขสบายดีไหม”

เมื่อเกิดการปฏิวัติวิทยาและศาสตร์ มนุษย์กระหายความรู้ที่ไม่คลุมเครือและสามารถพิสูจน์หรือตรวจสอบได้ ศาสตร์ที่เป็นวิทยาศาสตร์จึงได้รับการยอมรับ แทนที่ศาสตร์ของศาสนาที่เปรียบได้กับของเก่าล้าสมัย
การเปลี่ยนแปลงไม่ใช่ทางแห่งความเสื่อมอย่างที่ศาสนาว่า แต่ถูกให้ความหมายว่าเป็นการประยุกต์และการผลิตสิ่งใหม่ๆ ความรู้ที่มีการเปลี่ยนแปลงปรับปรุงได้ ถือว่ามีพลวัติ ไม่แน่นิ่งและไม่ตาย ความรู้ที่ไม่แสดงตัวตนอารมณ์ความรู้สึกและแหล่งที่มาถูกมองว่าเป็นความรู้ที่ถูกผลิตมาอย่างขาดความรับผิดชอบ ไม่แสดงตัวตน ไม่เปิดเผยตำแหน่งแห่งที่ของผู้ผลิตความรู้

ด้วยเหตุนี้ งานวิชาการหลายชิ้นที่ถือกำเนิดขึ้นในเวลาต่อมา จึงกลั่นมาจากประสบการณ์และตัวตนของผู้ศึกษาเอง อย่างเช่นงานเขียนวิชาการและทฤษฎีของfeminisms

เมื่อการประยุกต์ และความมีพลวัติเป็นสิ่งสำคัญ มนุษย์ต้องเปลี่ยนแปลงตนเองให้ทันสมัย เพราะมันนำซึ่งความก้าวหน้า การอยู่กับอดีตไม่ยอมเปลี่ยนแปลง คือการจมอยู่กับความทุกข์ ภาพของนักอนุรักษ์นิยมที่ปรากฏออกมาในที่สาธารณะจึงเป็นภาพของผู้ที่เกรี้ยวกราด โมโหร้าย และเป็นอุปสรรคของอนาคต คนที่ยังยึดติดกับคนรักเก่าที่จากไป จึงเป็นคนที่อมทุกข์ ขังตัวเองอยู่กับที่ และน่าสงสาร และอดีตมักถูกเปรียบได้กับผีที่คอยหลอกหลอนและเป็นภัย โลกสมัยใหม่จึงมองเรื่องผีเป็นเรื่องโง่งมงาย และไร้สาระ

เมื่อผีเป็นเรื่องปัญญาอ่อน ไม่ได้น่าหวาดผวาอีกต่อไป ศาสนาจึงไม่มีความจำเป็นในการดำเนินชีวิต เพราะพระได้สถาปนาตนเองเป็นตำรวจปราบผี

สิ่งใหม่จึงกลายเป็นคู่ตรงข้ามกับศาสนาในตัวของมันเอง เพราะไม่เพียงแต่จะทำให้ศาสนาลดบทบาทลง แต่มันยังขัดแย้งต่อหลักธรรมอีกด้วย เหตุที่ศาสนาไม่ปลื้มกับการผลิตเป็นทุนเดิม เพราะทำให้เกิดทุกข์ แต่สิ่งใหม่ๆกลับเป็นผลพวงจากการผลิต ที่สังคมยุคใหม่พึงพอใจโดยเฉพาะอย่างยิ่งสังคมที่ขับเคลื่อนด้วยการค้า คอลเลคชั่นใหม่ของเสื้อผ้าร้องเท้ากระเป๋าเครื่องประดับ รุ่นใหม่ๆของเทคโนโลยี ย่อมเป็นที่นิยมและสร้างกำไรได้มากกว่าคอลเลคชั่นหรือรุ่นเก่าๆ ผู้คนย่อมจ่ายให้กับสินค้าเหล่านี้เพื่อความสุขที่เกิดขึ้นทันตาเห็น แทนการทำบุญให้วัดเพื่อหวังความสุขในภายภาคหน้าที่ไม่สามารถประกันความมั่นใจได้ว่าจะสุขจริงๆ ศาสนาจึงมักโจมตีการบริโภคและกระแสทุนนิยมและความหรูหราฟุ่มเฟือย ว่าเป็นสิ่งเสื่อมทราม กิเลสตัณหา เพราะทั้งบริโภคนิยมวัตถุนิยมและทุนนิยมได้แย่งลูกค้าจากวัดไปเสียหมด แต่ถึงกระนั้นวัดวาอารามต่างก็ถูกสร้างขึ้นมาจากทรัพยากรที่เหลือเฟือ ความมั่งมี ความหรูหราที่เกิดจากการค้าการเก็บภาษีและสงครามของชนชั้นสูง ไม่ได้ถูกสร้างจากความศรัทธาเพียงล้วนๆ

เช่นเดียวกับการค้าที่ยังต้องอิงอาศัย โครงสร้างสังคมที่เชื่อว่าสิ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่ดีกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งการค้าอาหารที่ผู้ประกอบการนิยมเพิ่มชื่อร้านตนเองด้วยคำว่า “เจ้าเก่า” จนกลายเป็นนามสกุลพ่วงท้าย เช่นเดียวกับคำว่า “สูตรดั้งเดิม” “ต้นตำหรับ” ซึ่งเอาเข้าจริงก็ไม่รู้ว่าต้นตำหรับใคร ดั้งเดิมหรือเก่าแก่ขนาดไหน ศตวรรษ ทศวรรษ หรือเมื่อวาน ?

แต่ถึงกระนั้น ความเก่า ก็ยัง “เก๋า” พอที่จะเรียกลูกค้าได้มากกว่าร้านอาหาร “เจ้าใหม่” “สูตรทันสมัย” ที่แทบจะไม่ปรากฏให้เห็นตามหลังชื่อร้าน

เอาเข้าจริงแล้ว ฉันว่า การเปลี่ยนแปลง และการไม่เปลี่ยนแปลง ล้วนแล้วแต่ทำให้เกิดความสุขและความทุกข์ ขึ้นอยู่ว่าการเปลี่ยนแปลงนั้นใครได้หรือเสียผลประโยชน์

การเปลี่ยนแปลงย่อมก่อให้เกิดสิ่งแปลกใหม่และประหลาด แม้จะสร้างปัญหาในการนิยามอันเป็นลักษณะนิสัยของพระและเจ้าที่จะสร้างความหมาย นิยามเพื่อควบคุม แต่จากประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ชนชั้นเจ้ามักเป็นผู้รับสิ่งใหม่ๆก่อนชนชั้นอื่น และการเปลี่ยนแปลงล้วนเกิดขึ้นจากชนชั้นสูงก่อนเสมอ

ก่อนหน้านี้ มนุษย์เปลี่ยนแปลงตนเองด้วยการทำความรู้จักใช้ไฟและประดิษฐ์เครื่องมือหิน ทำให้มนุษยชาติกินอาหารได้หลากหลาย กินเนื้อสัตว์ได้มากขึ้นทั้งสายพันธุ์และปริมาณ แต่ก็ทำให้การขับถ่ายเป็นไปอย่างได้ยากลำบากยิ่งขึ้น แต่การเปลี่ยนแปลงต่อมาก็ทำให้เราไปปลดทุกข์ อย่าสงบสุขในห้องแห่งความสุขหรือ “สุขา” ไม่ต้องเผชิญกับงูเงี้ยวเขี้ยวขอขณะไปทุ่ง หรือต้องคอยระแวดระวังหมูหมาที่จะมาสร้างความรำคาญ
ในสังคมเกษตรกรรม ผู้คนเลี้ยงชีพด้วยการปลูกข้าวครอบครองที่ดิน ก็ไม่สามารถหรือไม่จำเป็นที่จะโยกย้าย เปลี่ยนแปลงที่อยู่อาศัย การอยู่กับที่ การไม่ไปไหนหรือเปลี่ยนแปลง ย่อมดีกว่า ไม่ต้องทุกข์ร้อนกับการเผชิญหน้ากับสัตว์ร้ายและโรคภัยไข้ป่า ทำให้มีเวลาและอาหารเหลือเฟือ วันๆปี้ๆเอาๆกันมีลูกมีหลานมาช่วยกันทำไร่ไถ่นา แต่ก็ต้องเผชิญกับความทุกข์อันเกิดจากการผลิต ตามที่ศาสนาบอก

ทั้งนี้เนื่องมากจาก ศาสนาได้เข้ามานิยามความหมายของการเปลี่ยนแปลงและความคงที่ ความหมายของความสุขและความทุกข์ ซึ่งในการกระบวนการการให้ความหมายนั้น ศาสนาได้ให้ความหมายของความทุกข์จากสิ่งปรกติที่ปรากฏอยู่บนโลกแล้ว แต่ให้สร้างหนทางในการดับทุกข์จากสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นบนโลกเลย

วันจันทร์ที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2551

วิกฤตของพ่อแม่


เรื่องมันมีอยู่ว่า เพื่อนฉันอยากไปเที่ยวเขาใหญ่ แต่ลากิจไม่ได้ จึงพยายามเสาะแสวงหาใบรับรองแพทย์เก๊ๆ เพื่อมาสร้างความชอบธรรมในความเจ็บไข้ได้ป่วยจนไม่สามารถเป็นฟันเฟืองให้กับนายทุนปัจจัยในการผลิตให้กับนายทุน
แต่ก็แปลก ถ้าเพื่อนฉันป่วยจนไม่สามารถออกไปทำงานได้ แต่ทำไมต้องให้เพื่อนฉันขับรถไปโรงพยาบาลเพื่อขอใบรับรองแพทย์ด้วย

ในฐานะคนตกงานอยู่ในบุคคลไร้รายได้ที่แน่นอน ฉันได้แต่เห็นอกเห็นใจคนทำมาหากินที่อยากจะพักผ่อนนอนอยู่บ้านกระดิกนี้วตีนติดกัน 2 – 3 วันทั้งที ยังต้องอาศัยโรคภัยไข้เจ็บที่สมเหตุสมผลพอที่จะไม่ต้องทำงานได้ ไม่เหมือนสมัยเรียนหนังสือ นึกอยากจะโดดเมื่อไรก็โดด ไปกินเหล้าเมายาหยำเปตลอดทั้งคืน ตื่นเช้ามาปวดหัวเรียนไม่ไหวก็นอนต่อ ไม่เห็นต้องรายงานให้ใครทราบว่าพี่ตายหรือยายป่วย... ก็แน่ละทำงานแลกเงินเขานี่ ไม่ได้วันๆนั่งๆนอนๆขอเงินพ่อแม่ไปวันๆอย่างฉัน ที่อยู่ในสภาวะพึ่งพิงทางเศรษฐกิจ ฉันจึงมีพ่อแม่เป็นสรณะตั้งแต่เด็กยันโต ฉันจึงกลายเป็นคนติดบ้าน ไม่อยากจากพ่อแม่ไปไหนสักครั้ง


ตอนเด็กๆ ทุกครั้งที่ฉันผวาตื่นไม่ว่าด้วยฝันร้ายหรือเสียงฟ้าคำราม ทุกครั้งที่ฉันมีบาดแผลไม่ว่าที่ร่างกายหรือหัวใจ ฉันจะเก็บซ่อนความเสียดแสบความประหวั่นพรั่นพรึงและน้ำตา แล้ววิ่งแจ้นไปหาอ้อมกอดแม่หรือพ่อ เพราะมันเป็นที่ที่รู้สึกปลอดภัย อบอุ่นใจและได้รับการคุ้มภัยมากที่สุด


ไม่เพียงเฉพาะเศรษฐกิจ แต่พ่อแม่ยังเป็นเสาหลักให้พึ่งพิงทางจิตใจ ปลอบประโลมยามหวาดกลัว อบรมสั่งสอนพยายามให้ฉันอยู่ในโอวาท สำหรับฉันพ่อแม่จึงกึ่งๆศาสนาหรือพระเจ้าที่เป็นที่ยึดเหนี่ยวและขัดเกลาจิตใจ กำหนดกฎระเบียบ แถมมีความศักดิ์สิทธิ์น่าเทิดทูน และเกิดจากความหวาดกลัว


ด้วยเหตุนี้จึงมีคนชอบเปรียบพ่อแม่กับ พระ กับ พรหม ที่อยู่ในบ้าน อยู่บ่อยๆ


แต่พอโตขึ้นเรื่อยๆ ฉันเริ่มเข้าใจว่าโลกไม่ได้มีแค่ในบ้าน พ่อไม่ได้หล่อและเท่ห์ที่สุดในโลกและแม่ก็ไม่ได้เป็นผู้หญิงสวยที่สุดเช่นกัน ความรู้และกฎระเบียบเริ่มเพิ่มพูนขึ้นรอบนอกรั้วบ้าน ฉันจึงได้เรียนรู้และเข้าใจในบางสิ่งที่พ่อแม่ไม่เคยสอนและไม่เคยรู้


เมื่อไม่ใช่ผู้ที่ฉลาดรอบรู้และพึ่งพาไปได้ทุกเรื่อง พ่อกับแม่จึงไม่ได้เป็นที่พึ่งได้ให้กับในลูกๆเหมือนตอนยังเป็นเด็ก ศักดิ์สิทธิ์ยิ่งใหญ่น่ายำเกรงอย่างพระเจ้า


“พระและพรหมในบ้าน” จึงดูเหมือนเป็นวาทกรรมที่ขี้จุ๊และเวอร์ไปสักหน่อย เพราะพ่อแม่ก็เป็นเพียงมนุษย์ขี้เหม็นคนหนึ่งที่มีผิดชอบชั่วดีเหมือนกัน
ลูกหลายๆคนจึงไม่ยอมให้พ่อแม่มาลิขิตชะตาชีวิตราวพระเจ้าว่าต้องดำเนินชีวิตอย่างไร เรียนคณะอะไร ทำงานด้านไหน ต้องกลับบ้านกี่โมง แล้วเรียนจบต้องแต่งงานกับใคร


ยิ่งเทรนด์โลกที่สิทธิของแต่ละบุคคลเท่าเทียมกันและมีเสรีภาพเสมอกัน แม้จะเป็นไปตามทฤษฎี ก็ตาม แต่ก็ทำให้มนุษย์มีอำนาจในการเลือกกำหนดและปกครองชีวิตได้เอง


พ่อแม่จึงเป็นผู้ปกครองลูกได้ก็ต่อเมื่อลูกยังเป็นผู้เยาว์เท่านั้น


เพราะเมื่อเด็กโตพอจนพ้นสภาพผู้เยาว์ ย่อมมีศักยภาพพอที่จะควบคุมและพึ่งตัวเองได้มากขึ้น พ่อแม่จึงไม่ใช่ผู้ปกครองอีกต่อไป ลูกจึงไม่ได้เป็นผู้ถูกปกครองหรืออยู่ใต้อาณัติตามหลักกฎหมาย เหมือนที่พ่อแม่คาดหวังให้ลูกพึ่งตัวเองมากขึ้น คิดเองทำอะไรได้เองไม่ต้องให้พ่อแม่ประคบประหงมอยู่ตลอด แต่ขณะเดียวกันพ่อแม่ก็หวังลึกๆว่าในสายตาของลูกจะไม่มีใครยิ่งใหญ่และทรงอำนาจไปกว่าตน


มันจึงดูเหมือนเป็นวิกฤติศรัทธาสำหรับพ่อแม่บางคู่ที่รู้สึกอดปวดกบาลไม่ได้ว่า “เด็กเดี๋ยวนี้มันไปเชื่อดารานักร้องกันหมดแล้ว ไม่เชื่อพวกเราหรอก” ไม่ก็ “เดี๋ยวนี้มันชักจะเอาใหญ่ พูดอะไรไม่รู้จักฟัง แถมยังเถียงคำไม่ตกฝาก”
ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายน่าสะเทือนใจหรือเป็นความล่มสลายของสถาบันครอบครัวที่ชนชั้นกลางหลังศตวรรษที่ 19

เทิดทูนแต่อย่างใด หากบุพการีจะไม่ใช่บุคคลที่น่าเชื่อถือที่สุดทุกเรื่องสำหรับชีวิตลูกๆที่ตนเคยเฝ้าฟูมฟักอบรมสอนสั่งในสภาพแวดล้อมและบรรยากาศที่เหมาะสมมานานนับปี เพราะถ้าหากพ่อแม่น่าเชื่อถือได้หมดทุกเรื่อง ป่านนี้ เพื่อนฉันคงไม่ต้องมะงุมมะงาหราหาหมอออกใบรับรองแพทย์ให้หรอก เธอคงเขียนใบลาเอง แล้วให้พ่อแม่เซนต์ชื่อกำกับว่า ““ขอรับรองว่าเป็นความจริง”

วันอาทิตย์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2551

ฮวงจุ้ยดี ชีวีมีสุข


ฉันโตมาในสมัยเพลง”หนูอยากเป็นอะไร”ของพี่เบิร์ด ธงไชย แมคอินไตย์ และพอโตมาแล้วก็ได้ฟังเพลง”ชีวิตลิขิตเอง”ของพี่เบิร์ดอีก จนทำเอาเป็นสาวมั่น ไม่เชื่อโชคชะตากรรมเวร อยากจะทำอะไร หวังอะไรไว้ก็ทำตามอย่างที่หวังไว้ ไม่เชื่อว่าจะมีพรหมมาลิขิต โชคชะตาเวลาเกิดมากำหนดว่าตกฟากเวลานี้โตไปจะทำอะไรรุ่ง เกิดวันเดือนปีอะไร ธาตุใด ราศีไหน ชงกับอะไร ควรขับรถสีใด ใส่เสื้อสีอะไรสุขภาพจะดี ยิ่งเรื่องน้ำ(ฮวง)กับลม(จุ้ย) มีผลอย่างไรต่อการครองเรือนและดำรงชีวิตอย่างฮวงจุ้ยจึงยิ่งเป็นเรื่องที่ไกลตัวออกไปเช่นเดียวกับ ลักจั๊บ สี่ข่วย อีจิ้ง โหวงเฮ้ง


อันที่จริง ไม่ใช่แค่ไม่รู้ ขนาดสะกดผันวรรณยุกต์ยังไม่ค่อยจะถูกเลย


ดังนั้นจึงไม่เคยคำนึงเวลาจะนอนว่าต้องหันหัวไปทิศไหน เวลาเลือกคบคนก็ไม่เคยคำนวณว่าถึงราศีปีเกิดว่าชงไม่ชง เพราะเวลาเมาเราก็นอนได้ไม่ว่าจะสถานที่ใดหรือกับใคร… รึไม่จริง
หมอดูคนหนึ่งบอกว่า ที่ฉันยากจนข้นแค้นอยู่ถึงทุกวันนี้เป็นเพราะผมทรงหน้าม้าของฉัน ที่ไม่ยอมเซ็ทผมเปิดหน้าผากรับทรัพย์ตามหลักโหงวเฮ้ง
สงสัยหมอดูคงไม่รู้จักม้า อรนภา เพราะชีมีรายได้มากกว่าหมอตั้งหลายเท่า ทั้งที่มีทรงผมแบบนั้น
แต่บอกว่าไม่เชื่อเลยก็ดูจะโม้ไปนิด เพราะเวลาเห็นคนไปดูดวง ทำพิธีสะเดาะเคราะห์ ไหว้พระไหว้เจ้าทั้งพุทธฮินดูจีน ก็ไปด่าว่างมงาย ไม่เป็นวิทยาศาสตร์ แต่พอเวลามีคนทักว่าดวงกำลังตกก็ขี้ขึ้นสมอง คอยระแวงระวังจนไม่กล้าออกจากบ้าน ใครบอกให้ไปไหว้อะไรไปไหว้หมด แล้วค่อยอ้างทีหลังว่า “ทำไว้ไม่เสียหาย” หรือ “ไม่เชื่ออย่าลบหลู่”
ในฐานะที่เป็นมนุษย์สัตว์ที่มีระบบสมองซับซ้อน จึงต้องคิดอะไรซับซ้อน ไม่ได้ตัดสินแบบหัวก้อยหรือขาวดำได้ เพราะฉะนั้น เราจึงมักได้ยินคำติดปากว่า “เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง”
ที่ไม่เพียงแต่จะบอกว่า กำลังตกอยู่ในสถานการณ์อิหลักอิเหลื่อ พิพักพิพ่วนที่จะตอบว่ากูเชื่อเรื่องพรรค์นี้หรือไม่ แต่ยังบอกว่า “กูก็ไม่เชื่อตัวเองเหมือนกันว่ากูเชื่อหรือไม่เชื่อ”
แต่ด้วยประสบการณ์ตรงกับชีวิต ที่ตกล่องปล่องชิ้นกับเศรษฐีแก่นายหนึ่ง หลังจากที่ฉันมะงุมมะงาหราหามานานเกือบครึ่งค่อนชีวิต
เขาปลูกบ้านให้ฉันอยู่หลังหนึ่งที่ต่างจังหวัด หลังจากที่ทนฉันบ่นสภาพมลพิษ และรถติดของเมืองหลวงไม่ไหว แม้ว่าเขาจะลงทุนสร้างบ้านหลังนี้ให้ฉันแต่ก็เป็นไปตามความแนะนำของซินแสแทบทุกคำ แม้ฉันจะท้วงด้วยเหตุผลร้อยแปดก็ไม่เป็นสำเร็จ เพราะหนึ่ง เงินเขา สอง เขาให้เหตุผลว่า ถ้ามันไม่ดีจริงก็คงไม่อยู่ได้มานานเป็นพันๆปี และเป็นสากล ยอมรับกันเป็นทั่วโลก
แม้ว่าฉันไม่ใช่ racism ก็ตาม แต่การที่จะทำใจเชื่อด้วยเหตุผลที่ว่ามีมาตั้งแต่โบราณ ยิ่งเป็นความเชื่อร่วมสมัยกับความเชื่อที่ว่าผู้หญิงที่เท้าขนาดไม่กี่นิ้วนั้น น่าหลงใหลได้ปลื้มกับจนต้องรัดซะแทบเดินไม่ได้ จึงเป็นเรื่องที่ทำใจลำบากอย่างยิ่ง


แล้วที่บอกว่าเป็นสากลทั่วโลกน่ะ ก็เล่นตั้งรกรากไปทั่วโลกซะขนาดนั้น


แต่ถึงอย่างไร ฉันก็ได้บ้านหลังน้อยท่ามกลางหมู่มวลพฤกษานานาพันธุ์สมใจ ข้างหน้ามีลำธารขนาดใหญ่ ข้างหลังเป็นทิวเขาเขียวขจี ซึ่งซินแสบอกว่า ถูกหลักฮวงจุ้ย ใครอยู่บ้านหลังนี้จะมีแต่ความสุข เจริญรุ่งเรือง มีโชคลาภ ผัวเมียจะอยู่กันยืดแก่เฒ่า ถือไม้เท้ายอดทองกระบองยอดเพชร .... ท่าจะจริงอย่างที่ซินแสว่าคู่รักจะอยู่กันยืด

ก็จะให้หนีไปไหนได้ล่ะคะ หน้าบ้านเป็นภูเขาหนีไปก็กลัวตะเข้ จะลากไปกิน ปีนเขาหนีไปหลังบ้าน ก็กลัวเสือคาบไปโซ้ย

เห็นทีฉันต้องเชื่อฮวงจุ้ยเสียแล้ว...

วันพฤหัสบดีที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2551

รถเมลฟรี เพื่อ(พลัง)ประชาชน


ในที่สุด ฉันก็มีสถานภาพเฉกเท่ากับสมณะสามเณรนางชีรวมไปถึงคนบ้า หรืออย่างเป็นรูปธรรมมากที่สุด ก็สถานภาพเช่นเดียวกับ ชายแต่งองค์ทรงเครื่องลิเกระยิบระยับแพรวพราวแต่ไม่มีฉลองพระบาท … เพราะว่าไม่ต้องจ่ายค่ารถเมล์

ทั้งนี้เป็นไปตามนโยบายขึ้นรถเมล์ฟรีของรัฐบาลที่ออกมาแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้าให้กับ ( วิกฤตประชานิยมของและ ) ประชาชนที่กำลังเดือดร้อนกับรายจ่ายที่สูงขึ้นเรื่อยๆ เนื่องด้วยอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มมากขึ้น ( อันนี้จำขี้ปากนักข่าวมา แปลไม่ออกหรอกว่าเงินเฟ้อเงินอืดหมายถึงอะไร )

บนรถขสมก. ที่ฉันโหนอยู่จึงแน่นขนัดผิดกว่าแต่ก่อน ต่างคนต่างเบียดเสียดยัดเยียดในที่แคบๆ ทั้งอบทั้งอ้าวอวลไปด้วยกลิ่นน้ำหอมกลิ่นเต่า กลิ่นเหงื่อ กลิ่นเปรี้ยว กลิ่นสาบ คลุ้งตลบในพาหนะที่ปูพื้นด้วยไม้กระดานเก่าๆหลังคาทำจากโลหะโทรมๆ กับเครื่องยนต์ที่ขู่คำรามอยู่ตลอดเวลาแข่งกับเสียงกรรโชกของรถรารอบข้าง

ซึ่งเป็นบรรยากาศที่คุ้ยเคยแต่ไม่อาจคุ้นชิน สำหรับคนที่เกิดมาในชนชั้นมีอันจะกิน ( ถ้าประหยัด ) ในสังคมเมือง ที่ต้องพึ่งพิงรถโดยสารในการเดินทางจึงเป็นเรื่องที่ไม่มีทางเลือกและคุ้นชินกับพฤติกรรมบางอย่างโดยไม่รู้ตัว กลายเป็นทักษะในการใช้รถใช้ถนนที่ว่าจะต้องข้ามถนนอย่างไรถ้าวันดีคืนดีรถติดมากๆ โชเฟอร์เกิดเปลี่ยนเส้นทางขึ้นมาเองเสียดื้อๆ หรืออาศัยจังหวะติดไฟแดงปล่อยผู้โดยสารตามยถากรรมกลางถนนใหญ่ หรือ จะหลับอย่างไรขณะที่โชเฟอร์บีบแตรเรียกลูกค้าอย่างเกรี้ยวกราดทุกป้ายรถเมล์ โดยไม่สะดุ้งตื่นเกือบตลอดทาง หรือแม้แต่จะนั่งตรงไหนโดยไม่ต้องสละเบาะนั่งให้คนแก่ เด็ก คนท้อง เพราะถ้าคนนั่นรถเมล์บ่อยๆจะรู้ว่า ที่นั่งใกล้ประตูและริมทางเดินเป็นพื้นที่สีแดง เสี่ยงอันตรายอย่างยิ่งต่อการสูญเสียเบาะนั่ง

เพราะว่าการโหนรถเมล์นั้นเป็นสภาวะยอมจำนนที่ไม่ใช่เพียงจำนนต่อ มโนธรรม วาทกรรม เศรษฐกิจ ( เพราะถ้ามีตังค์คงซื้อรถเก๋งขับ โบกแท็กซี่สบายใจเฉิบไปแล้ว ) แต่มันเป็นสภาวะยอมจำนนต่อการเลือกไม่ได้ชนิดเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ซึ่งเลือกไม่ได้แม้กระทั่ง วันนี้ต้องรอรถเมล์นานขนาดไหน มันจะมาตอนไหน มันจะจอดรับกูไหม ขึ้นไปจะมีที่นั่งไหม รถจะเสียกลางครันหรือไม่ หรือแม้แต่คนขับมาจะจอดลงตรงป้ายกูหรือเปล่า

ดังนั้นการอาศัยบริการรถเมล์จึงเป็นเรื่องของ “ความเสี่ยงโชค” และ “ดวง” ล้วนๆ เพราะเราไม่สามรถกำหนดได้ว่ารถเมล์จะมีมาตอนไหน ดวงดีได้ขึ้นเร็วได้นั่ง โชคร้ายอาจไม่มีที่ให้นั่งหรือต้องนั่งกับคนตัวเหม็น แต่อาจซวยกว่านั้นคือเจอเด็กช่างกลเข้ามายิงกันในรถเมล์ หรือ โชเฟอร์ขับเร็วส่งผู้โดยสารไม่ครบ 32 ก่อนถึงป้าย

ที่ขับกันเร็วๆส่วนหนึ่งก็เพราะ การขนส่งมวลชนเต็มไปด้วยรถเมล์รัฐ รถเมล์ร่วม ( ซึ่งได้สัมปทาน ทำหน้าที่แทนรัฐที่ไม่มีเงินผลิตสายรถเมล์ ) ที่บางเส้นทางก็มีสายที่ทับซ้อนกัน ต่างก็ต้องแข่งขันกันเพื่อแย่งลูกค้า ทว่าการแข่งขันกันไม่ใช่ต่างคนต่างพัฒนาระบบคุณภาพ แต่เป็นการแข่งความเร็วแย่งลูกค้า คันไหนถึงเร็วกว่าคันนั้นได้ลูกค้าไปครอง

และแน่นอนที่สุด ผู้โดยสารเห็นอะไรมาก่อนก็ต้องขึ้นคันนั้นเป็นเรื่องปรกติ เพราะว่าถ้ารออีกคนไม่รู้จะมาชาติไหน ( ยิ่งวันไหนต้องขึ้นสายนั้นยิ่งไม่ค่อยมีให้เห็น แต่พอวันไหนไม่ต้องขึ้น เสือกมากันเยอะแยะเต็มไปหมด )

ฉันจึงไม่เคยรู้สึกปลอดภัย ไว้วางใจเวลาอยู่บนท้องถนน

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่ออาศัยบริการรถเมล์ประเภท ” เขียวนรก ” อันที่จริงชื่อนี้ฉันไม่ได้คิดเองหรอกนะ เพียงแต่เรียกตามคนอื่นเขามาอีกทีเหมือน แดงครีม น้ำเงินขาว ไม่รู้ว่าใครเป็นคนตั้งสมญา แต่ไม่เคยแปลกใจว่าทำไมถึงเรียกแบบนั้น เพราะประสบการณ์นั่งรถเมล์เขียวไม่เคยแยกออกจากหมวดหมู่ประสบการณ์เฉียดตายทุกครั้ง

เพื่อนฉันเคยขึ้นรถเมล์เขียวแถวรามคำแหงกลางดึก คนขับรถเมล์ท่าทางหิวเบียร์จัด ใช้โอกาสติดไฟแดงลงไปซื้อมา 2 – 3 กระป๋องขึ้นมาซด แล้วให้กระเป๋ารถเมล์มาขับแทน ท่ามกลางความประหวั่นพรั่นพรึงของผู้โดยสาร ยังดีที่คนขับยังพอมีสติพอจะแยกออกได้ว่าใครเป็นกระเป๋าใครเป็นผู้โดยสาร เพราะกระเป๋าเล่นใส่กางเกงเจเจ เสื้อเชิ้ตน้ำเงิน คีบรองเท้าแตะเป็นยูนิฟอร์ม ซึ่งโชคดีที่ฉันไม่เคยเจอคนขับกินเหล้าเมายา อย่างมากก็แค่สูบบุหรี่ขณะขับ ให้ดมคาร์บอนมอนอกไซด์ ไนโตรเจนไดออกไซด์ ยังไม่พอแถม นิโคติน ให้กูอีก

แต่พอหนีควันพิษขึ้นมารถปรับอากาศ เหมือนหนีเสือปะจระเข้จริงๆ เพราะมันปรับอากาศจริงๆ แต่ปรับให้ร้อนขึ้น จนฉันนึกว่าเป็นรถเมล์ติดฮีตเตอร์เครื่องแรกของประเทศไทย ฉันเลยต้องนั่งรถปรับอากาศจนหลังแฉะตูดแฉะตั้งแต่ท่าเตียนยันแฮปปี้แลนด์

แม้ว่าจะมีสติกเกอร์แปะตามหน้าต่างให้แนะนำร้องเรียนการบริการรถประจำทาง แต่เบอร์นั้นไม่เคยมีผู้รับสายเลยแม้ว่าจะเป็นเวลาใดก็ตาม

เรื่องเล่า ( บ่น ? ) เกี่ยวกับรถเมล์ไม่ว่าจะเป็นสีอะไร ปรับอากาศหรือไม่ก็ตาม จึงเป็นอมตะมีมาให้ฟังไม่รู้จบไม่รู้หน่าย และเช่นเดียวกัน... ไม่รู้จักปรับปรุง

ด้วยประการฉะนี้ฉันจึงไม่ปีติโสมนัสกับนโยบาย รถเมล์ฟรี เพื่อประชาชน เพราะบางทีรถเมล์ที่เพื่อประชาชนอาจไม่ใช่รถเมล์ที่ฟรี แต่เป็นรถเมล์ที่มีระบบ คุณภาพ ปลอดภัย พอที่ผู้โดยสายสารวางใจในชีวิตบนท้องถนนและรู้สึกว่ายินดีจ่ายค่าบริการแม้ว่าจะขึ้นราคาสักกี่ครั้งก็ตาม

แม้จะเข้าใจดีว่าการแก้ปัญหารถเมล์เป็นเรื่องที่หินมากสำหรับทุกรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาล “หมัก” รัฐบาล “หมม” หรือ รัฐบาล “หมกเม็ด” เพราะมันล้วนเป็นปัญหาที่สัมพันธ์กับการจราจร งบประมาณ ปริมาณพลังงานที่มีอย่างจำกัด ผลประโยชน์ทับซ้อน หรืออะไรต่อมิอะไรเยอะแยะตาแป๊ะไก่ และที่สำคัญไม่เคยมีผู้บริหารรัฐคนไหนเข้าใจปัญหาเกี่ยวกับขนส่งมวลชนโดยตรง เพราะต่างก็ไม่เคยเดินทางเข้าสภาด้วยรถเมล์
ถ้าไม่ใช่รถเก๋งก็เป็นรถถัง…

หลังจากชำแรกกายผ่านฝูงชนที่แน่นขนัด ก้าวลงจากรถขสมก.ฟรีด้วยเสื้อผ้าอันยับย่นชื้นแฉะไปด้วยเหงื่อของตัวเองและคนแปลกหน้า ฉันหันกลับไปมองสภาพรถที่เพิ่งลงมากำลังทะยานตัวด้วยความเร็วสูงพร้อมพ่นควันดำปิ๊ดปี๋ออกจากท่อไอเสีย พ่วยพุ่งฟุ้งอากาศจนแทบมองไม่เห็นข้อความที่เขียนไว้ข้างหลังว่า “รถเมล์ฟรี เพื่อประชาชน”

ทำเอามองแวบแรกนึกว่าป้ายโฆษณาหาเสียงพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง เพราะ Font มันดูคุ้นตาชอบกล...

วันเสาร์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

ผู้หญิงไม่กลัวแก่


ทันทีที่เราอายุมากขึ้น ชีวิตก็ยิ่งทวีความซับซ้อนมากขึ้นทั้งความคิดความอ่าน หรือถ้าไม่ใช่สำหรับบางคน อย่างน้อยยศนำหน้าชื่อก็เปลี่ยนไป มีมิติทางเพศก็ปรากฏให้เห็นความซับซ้อนของตัวเรา จากน้องกลายเป็นพี่ จากพี่นานๆเข้าถูกเรียกเป็น “ป้า” ไม่ก็ “ยาย”

แม้จะช่วยบอกวัยวุฒิและความอาวุโสอันเปรียบได้กับเครื่องรางของขัลงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสังคม แต่บางครั้งก็รู้สึกเจ็บจี๊ดๆที่ใจชอบกล เพราะมันรู้สึก ”กูแก่” แน่สิไม่มีใครอยากแก่ ตกกระ นมยาน หนังหน้าเหี่ยวกันหรอก เพราะมันดูน่าเกลียดไม่น่ามอง ความแก่จึงกลายเป็นสิ่งที่ไม่มีใครปรารถนา แต่เป็นสิ่งที่เราหลีกหนีไม่พ้น นอกเสียจากว่าจะชิงตายไปก่อนแก่ แต่แน่ล่ะ...ก็ไม่มีใครกล้าทำ

แม้ว่าสาวๆหลายคนจะไม่อยากแก่แต่ถึงอย่างไรก็ยังอยากมีอายุที่ยืนยาว

ขนาดพระพุทธรูปที่เป็นผู้ชายทั้งดุ้นเองก็ยังไม่ชอบความแก่เฒ่า เราจึงไม่เห็นพระพุทธเจ้าในวัยคุณตา เพราะมันไม่น่ามองไม่มีพุทธศิลป์ และที่สำคัญหล่อปั้นก็ยากกว่า พระพุทธรูปจึงมักจะถูกปั้นถูกวาดให้หนุ่มเสมอ
แม้แต่ตอนอายุ 80 ปี ปางปรินิพพาน ดูผ่านๆยังนึกว่าปางไสยาสน์ ดังนั้นพระพุทธรูปเวอร์ชั่นเหี่ยวที่สุดที่เคยเห็นเคยเห็นคงจะเป็นปางบำเพ็ญทุกรกิริยา แต่ถึงกระนั้นก็ไม่ใช่ความชราภาพ ด้วยเหตุนี้เราจึงไม่สามารถล่วงรู้ขวบวัยของพระพุทธเจ้าได้ด้วยการสังเกตทางกายภาพของรูปปั้นหรือรูปภาพ

อย่าว่าแต่วัยเลย บางครั้งยังอยากที่จะระบุเพศของพระพุทธรูปเสียด้วยซ้ำ

ความแก่ไม่เพียงแต่ ( ถูกกล่าวหาว่า ) ไม่น่ามอง แต่ยังไม่น่าเข้าใกล้ เพราะทุกครั้งที่นั่งรถเมล์เราจึงมักหวังในใจให้คนแก่ไปยืนอยู่ห่างๆ หรืออย่างน้อยก็แกล้งหลัยซะจะได้ไม่ต้องเห็น เพราะความแก่เป็นวัยของความโรยรา ไร้เรี่ยวแรง กระเซาะกระแซะ เจ็บป่วย ต้องพึ่งพิงและนำไปสู่ความตาย

หลายๆคนจึงกลัวแก่เพราะกลัวตาย เพราะนำมาสู่ความตายจริงๆ ยิ่งผู้หญิงในยุคกลางยิ่งตายง่ายกว่าผู้ชาย เพราะผู้หญิงแก่มักเป็นผู้มีวิชาความรู้สั่งสมมานาน จนถูกมองว่าเป็นแม่มด และแน่นอนที่สุด พวกหล่อนต้องถูกจับย่างสด เพราะเป็นภัยแต่ศาสนจักรและอาณาจักร

ถึงอย่างไรความตายก็สตาฟความสวยความเยาว์วัยไว้ได้ มารีลิน มอรโรล หล่อนสวยสาวเป็นดาวค้างฟ้า ก็เพราะหล่อนหนีไปอยู่บนฟ้าก่อนที่จะแก่

แม้จะผ่านยุคกลางมาหลานศตวรรษแล้ว ความแก่นั้นก็ยังคงเป็นภัยเฉพาะเจาะจงกับผู้หญิง เพราะในสังคมที่”นม” กับผู้หญิงถ฿กจับคู่กัน ผู้หญิงยิ่งมีชีวิตอยู่นานๆยิ่งไม่ดี เดี๋ยวมันจะบูดเอา แต่ผู้ชายเขาว่า ยิ่งอายุมากยิ่งดี เหมือนไวน์ที่บ่มไว้นาน

หลายคนโทษสื่อโดยเฉพาะสื่อโทรทัศน์ในสังคมทุนนิยมว่า ทำให้ความแก่เสมือนโรคภัยไข้เจ็บ เช่นเดียวกับความอ้วน ที่ออกมาขายสินค้ากระชับความตึงของผิวหน้าและลบเลือนตีนกาในโฆษณาขั้นละครที่พระเอกนางเอกเป็นวัยรุ่นวัยเรียนแล้วให้คนแก่ๆเล่นบทขี้ข้าคนใช้แม่ค้าและตัวร้าย

แต่ฉันคิดว่าสื่อนี่แหละที่ทำให้ฉันไม่กลัวแก่และอยากแก่ไวๆ

เพราะหลังจากไปดูการดำเนินชีวิตของ 4 สาววัยเลข 4 นำหน้าในเรื่อง Sex And The City The movie แล้วได้ซื้อหนังสือชีวประวัติของหญิงเก่งอย่าง ภัทราวดี มีชูธน กลับมาอ่านที่บ้าน ประกอบกับได้ดูเอ็มวีใหม่ล่าสุดของ Madonna รอดร่ายส่ายสั่นในชุดแอโรบิคกับแดนเซอร์หนุ่มกล้ามโตได้อย่างแสบสันต์ตัณหา

เพราะความแก่และความเก๋าของพวกเธอ ไม่ได้แยกออกจากกันเลย

วันอาทิตย์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

วิทยาศาสตร์ยุคใหม่ ใกล้ชิดประชาชน


วันก่อนฉันถามเพื่อนคนหนึ่งที่เป็นอาจารย์สอนปรัชญาตะวันออกว่า ทำไมนรกต้องร้อนด้วย แล้วทำไมต้องเกี่ยวกับการลวกการเผาหรืออะไรก็ได้ที่อาศัยความร้อน
เขาให้คำตอบว่า “ก็คิดแบบวิทยาศาสตร์ดูสิ ก็ภายใต้พื้นผิวโลกมีอุณหภูมิที่ร้อนกว่าและมีการเผาผลาญมหาศาลไง”

ฉันได้แต่พยักหน้าหงึกๆถึงความเป็นเหตุเป็นผลของมัน ....ว่าแต่ว่า นรกสวรรค์เป็นเรื่องวิทยาศาสตร์ตั้งแต่เมื่อไรกัน…

สำหรับฉันแล้ว นรกสวรรค์และวิทยาศาสตร์ ต่างก็เป็นเรื่องไกลตัวฉันด้วยกันทั้งนั้น เพราะรู้สึกว่ามันอยู่ในวัดในห้องแลบมากกว่าจะมาตั้งอยู่ในบ้านฉัน

ยิ่งเรื่องวิทยาศาสตร์เข้าแล้วยิ่งไกลตัวเข้าไปใหญ่ เพราะเพิ่งจะมาได้ยินตอนเข้าโรงเรียนแต่เรื่องนรกสวรรค์ชั้นฟ้าผีเปรตเจตภูติฉันได้ยินมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก

มาพักหลังๆพอได้ยินแนวคิด “กระทรวงวิทยาศาสตร์ยุคใหม่ ใกล้ชิดประชาชน” ทำให้ฉันใจชื้นขึ้น เพราะองค์ความรู้ที่อยู่บนหอคอยงาช้างจะได้ถูกสอยลงมาให้ทำความรู้จักเสียที หรืออย่างน้อยที่สุดเรื่องที่ดูเหมือนว่าจะผูกขาดอยู่กับคนนุ่งชุดกาวน์ถือหลอดทดลอง จะได้กระจายมายังคนนุ่งกระโจงอกถือตะหลิวนอยู่แต่บ้านอย่างฉัน และพวก ไนตรัสออกไซด์ กรดซัลฟิวรัส โปรตอน อิเล็กตรอน หรือที่ชื่อแปลกๆจำยากพวกนี้จะได้มาเป็นสมาชิกใหม่ในชีวิตประจำวันของเราสักวัน

ว่าแต่ว่าวิทยาศาสตร์ยุคใหม่นี่มันเป็นยังไงกันหว่า

ฉันพอจะรู้ความหมายของวิทยาศาสตร์เฉยๆว่า “ความรู้” เพราะมันตรงกับภาษาอังกฤษคำว่า science ซึ่งมาจากภาษาลาติน scientia ที่แปลว่าความรู้ และมันคำว่า “วิทยา” และ “ศาสตร์” ต่างก็แปลว่าความรู้เหมือนกัน แต่ไหงมีคนเอาไปอธิบายว่า วิทยาศาสตร์หมายถึงการศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับปรากฏการณ์ทางธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แล้วรวบรวมเป็นความรู้ ได้ไงก็ไม่รู้

ส่วนวิทยาศาสตร์สมัยใหม่จากที่จำขี้ปากนักวิชาการมาพอสรุปได้ว่า ยุคใหม่แห่งวิทยาศาสตร์อุบัติขึ้น หลังจากที่ กาลิเลโอ กาลิเลอี นักฟิสิกส์ชาวอิตาลี ออกมาพิสูจน์ว่าโลกไม่ได้เป็นศูนย์กลางจักรวาลอย่างที่ศาสนาบอกให้เชื่อ หลังจากนั้นเป็นต้นมา บรรดาวิทยา และ ศาสตร์ต่างๆที่เคยจำศีลเป็นเวลานานก็ถูกเปิดเผยและผลิตขึ้น เกิดความรู้ใหม่ๆมากมาย จนอะไรที่เรียกว่าใหม่แกะกล่องกลายเป็นของดี ทำให้เราต้องอัพเดทอยู่เสมอ ซึ่งรวมไปถึงวิทยาศาสตร์ด้วย

มาลองคิดดูแล้ววิทยาศาสตร์ก็ไม่ได้เป็นความรู้ใหม่อะไร เพราะสมัยก่อนก็มีวิทยาศาสตร์เหมือนกันนะ แต่จะก่อนขนาดไหนไม่รู้ รู้แต่ว่าในสมัยกรุงธนบุรีก็ใช้คำนี้ในฐานะวิชาด้านคุณไสย เพราะถือว่าเป็นวิทยาและศาสตร์อย่างหนึ่ง

ขนาดบิดาแห่งโหราศาสตร์ไทยก็ไม่ได้เป็นคนละคนกับบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทยแต่อย่างใด

ดังนั้นจึงไม่แปลกที่หากจะมีการเรียนการสอนวิชาวิทยาศาสตร์ที่ว่าด้วย พระเจ้าสร้างโลกภายใน 6 วันด้วยวจนะ บรรพบุรุษของเรา ชื่อ ปู่สังกะสาย่าสังกะสี หรืออุทกภัยน้ำท่วมเกิดมาจากปีนี้นาคให้น้ำหลายตัว เพราะต่างก็เป็นการอธิบายธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพียงแต่ถูกมองว่าเป็นวิทยาและศาสตร์ที่เก่าเก็บและล้าสมัย ทว่าใกล้ชิดประชาชนนะเออ

อย่างไรก็ตาม ก็ถือว่าเป็นข่าวที่น่ายินดีที่หน่วยงานราชการตั้งใจปฏิรูปวิทยาศาสตร์อย่างเอาจริงเอาจังให้เป็น “ยุคใหม่” จนทำให้ใกล้ชิดประชาชนได้เป็นผลสำเร็จ เพราะเมื่อวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ 18 สิงหาที่ผ่านมา ฉันเห็นคนแถวบ้านไปร่วมทำบุญตักบาตรเลี้ยงพระเพื่ออุทิศกุศลผลบุญถวายพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทย กันแน่นโรงเรียนเชียว

วันจันทร์ที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

นาง กับ นางสาว


ก่อนจะเล่าเรื่องไร้สาระ ฉันขอแสดงความยินดีย้อนหลังกับนักเรียกร้องสิทธิสตรีทั้งหลาย ที่พยายามเรียกร้องจนสุดลิ่มทิ่มประตูจนเปลี่ยนคำนำหน้าชื่อผู้หญิงเป็นผลสำเร็จ จนประเทศไทยแลนด์กล้าประกาศศักดาว่าเป็นชาติไทยทันสมัยชั้นแนวเรื่องความเท่าเทียมทางเพศ พัฒนากว่าประเทศอื่นๆที่เป็นประเทศโลกที่หนึ่ง

...ว่าแต่เป็นจริงอย่างที่เขาประกาศรึเปล่า ฉันไม่รู้...

มาเข้าเรื่องของฉันดีกว่า มีอยู่วันหนึ่งได้รับหนังสือเล่มบางๆจากเพื่อนสนิทที่ไปร้านหนังสือมา เป็นหนังสือ how to ชื่อ “มารยาทในการเข้าสังคม” มันหวังดีหรือมันอยากจะด่าฉันทางอ้อม ก็ไม่รู้
ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่า ทำไมจะต้องมีหนังสือ how to เข้าสังคมด้วย ในเมื่อเราก็เป็นสัตว์สังคม แม้จะมีนักวิชาการบางคนบอกว่าเราเป็นสัตว์ปัจเจกเพียงแต่ถูกทำให้เป็นสัตว์สังคมมาเป็นเวลาโกฏิปีก็ตาม แต่ถึงอย่างไร ในตอนนี้เราขาดสังคมไม่ได้จริงๆ

ถ้าจะพูดแบบง่ายๆก็คือในฐานะที่เป็นสัตว์ที่ปฏิเสธสังคมไม่ลงจริงๆ หนังสือมารยาทในการสังคม จึงเป็นคู่มือสำคัญยิ่งเพื่อเข้าใจถึงโครงสร้างสังคมและความคาดหวังของสังคมที่ตนอยู่ ที่สำคัญรู้จักตัวตนและสถานภาพของตนเองในฐานะสมาชิกของสังคมนั้นๆ ไม่อย่างนั้นคนพุทธจะอ่านไตรปิฏกไปทำไม และคริสเตียนจะอ่านไบเบิ้ลเพื่ออะไรกัน

ฉันจึงหยิบของฝากที่เพื่อนอุตส่าห์ซื้อมาให้ด้วยความปรารถนาดีประสงค์ร้าย พลิกอ่านไปมา ในหนังสือบอกว่าเมื่อไปงานศพ ให้พบเจ้าภาพแล้วแสดงความเสียใจ ( นี่ถ้าไม่บอกฉันคงไปหัวเราะรดหน้าเจ้าภาพแล้วมั้ง ) อ่านแล้วคล้ายๆคำแนะนำบนกล่องอาหารแช่แข็งว่า “โปรดอุ่นก่อนรับประทาน” ไม่มีผิด

แต่ดูเหมือนว่ามีหลายอย่างที่ฉันไม่รู้ ที่ไม่รู้เพราะไม่รู้เหตุผลว่าทำไมถึงต้องทำแบบนี้ เช่น ในงานเลี้ยงบุฟเฟต์ ถึงเวลาอาหารต้องให้สุภาพสตรีเข้าตักอาหารก่อน ถ้าโต๊ะจีนก็ต้องบริการสุภาพสตรี และไม่ว่าอะไรต้องช่วยเหลือ สุภาพสตรี เด็กและคนชราเสมอ และที่สำคัญต้องพูดจาให้เกียรติสุภาพสตรีอยู่เสมอ

ในหนังสือไม่ได้บอกว่าทำไมต้องทำแบบนั้นต้องทำแบบนี้ แต่ดูเหมือนว่า ผู้หญิงที่ในหนังสือเรียกว่า “สุภาพสตรี” นั้นเหมือนบุคคลในภาวะพึ่งพิงที่ต้องรับการประคบประหงมมากกว่าจะเป็นมนุษย์ปรกติผู้กระทำอะไรได้เอง

พอเปิดมาถึงบทที่ว่าด้วยการแนะนำให้รู้จักกันต้องแนะนำผู้อ่อนวัยกว่าให้รู้จักผู้สูงวัยกว่า ผู้มียศต่ำกว่าให้ผู้มียศสูงกว่า แม้จะฟังดูทะแม่งๆแต่ฉันก็พอเข้าใจดีว่าสังคมที่เราอยู่มันช่างเต็มไปด้วยศักดินา การไว้ยศถือชนชั้น

แต่ที่เป็นความรู้ใหม่และชวนตะลึงพรึงเพริศคือ ควรแนะนำหญิงที่ยังไม่ได้สมรสให้รู้จักผู้หญิงที่สมรสแล้ว
ดังนั้นการแต่งงานจึงไม่ต่างการเลื่อนขั้นทางสังคม เป็นการเปลี่ยนผ่านชนชั้นเช่นเดียวกับการบวชเรียนในสมัยก่อนหรือการเรียนให้จบอุดมศึกษาในปัจจุบัน เพื่อถีบตัวเองจากชนชั้นล่างขึ้นสู่อีกระดับหนึ่งที่เป็นชนชั้นพิเศษกว่า แต่ตำแหน่งของผู้หญิงจะสูงต่ำไม่ได้อยู่ที่การงานหรือการศึกษา แต่ต้องอาศัยการมีหรือไม่มีซึ่งผัว ( หรือจะเรียกให้สวยหรูคือสามี อันแปลว่า เจ้าของหรือเจ้านาย ) เป็นองค์ประกอบ

หญิงโสดหลายคนจึงต้องเผชิญกับสถานภาพของตนเองเป็นปัญหาที่ใครๆต่างก็บอกว่ามันช่างเหงาเปล่าเปลี่ยวเหี่ยวแห้งเป็นแตงเฉาตาย ยิ่งเกินวัยสาวแล้วแต่ยังเป็น”นางสาว”อยู่ ยิ่งดูน่าสงสารและเป็นเป้านินทาของสังคม เพราะมันไม่มีเกียรติทางสังคม

ด้วยเหตุนี้การเปลี่ยนคำนำหน้าชื่อของหญิงหม้ายกลับไปเป็นนางสาวได้ และ ผู้หญิงสามารถเลือกได้ว่าจะใช้คำนำหน้าชื่ออะไรเมื่อจดทะเบียนสมรสแล้ว ฉันจึงยินดีเฉพาะกับนักต่อสู้เพื่อสิทธิสตรี

วันพุธที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2551

ฆ่าตัวตาย

“โถ... อายุยังน้อยไม่น่าคิดสั้นเลย”
“เค้าว่า การฆ่าตัวตาย เป็นบาปหนากว่าฆ่าคนอื่นอีกนะ”
“ขนาดหมาขี้เรื้อนมันยังไม่ฆ่าตัวตายเลย”

“ถูกค่ะ... หมาขี้เรื้อนมันจะไปฆ่าตัวตายได้ไง ขนาดหายามาทาให้ขนงอกมันยังทำไม่เป็นเลย นับประสาอะไรกับถือถือมีดมาปาดขาหน้าตัวเอง”


ฉันแอบเห็นด้วยในใจขณะนอนดูรายการข่าวพลางอ่าน sms ที่คนทางบ้านส่งไปร่วมแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับ นักศึกษามหาวิทยาลัยชื่อดัง โดดตึกที่คณะฆ่าตัวตาย เพราะเครียดเรื่องคะแนนเกรดทีไม่ได้อย่างที่ตนหวัง ซึ่งดูเหมือนว่ากลายเป็น”ปัญหาสังคม”

ยิ่งวัยรุ่นฆ่าตัวตายแล้วยิ่งถือว่าเป็นปัญหาสังคม เพราะว่ารัฐอุตส่าห์ลงทุนด้วยสวัสดิการต่างๆมากมายให้กับนักเรียนนักศึกษา เพียงเพื่อหวังว่าการลงทุนในครั้งนี้จะทำให้ทรัพยากรมนุษย์เติบโตมีอาชีพดีๆรายได้สูงๆ สามารถจ่ายภาษีให้รัฐในอัตรามากๆได้ แต่ไม่ทันที่รัฐจะได้ผลกำไร ยังไม่ถอนทุนด้วยซ้ำก็ดันมาชิงตายเสียก่อน

อัตวินิบาตกรรมจึงเป็นบาปหนาเพราะทำให้รัฐขาดทุนและผิดหวัง นอกเสียจากว่าเป็นการฆ่าตัวตายเพื่อรับใช้รัฐ ที่ซามูไรปกป้องความลับด้วยการฮาราคีรี คว้านท้องตนเองจนไส้ขาดจะได้ไม่ต้องไปสาวไส้ให้กาที่ไหนกิน เช่นเดียวกับสโลแกนของลูกเสือ “เสียชีพอย่าเสียสัตย์” ที่ประกาศว่า กูยอมกลืนน้ำยาล้างห้องน้ำยังดีเสียกว่ากลืนน้ำลายตัวเอง ( ที่เคยปฏิญาณไว้ว่าจะจงรักภักดี ) เพราะถือว่าเป็นการพลีชีพ เสียสละเลือดเนื้อ เพื่อชาติและอุดมการณ์

ดังนั้นการฆ่าตัวตายที่ไม่ถือว่าบาปก็คือ การฆ่าตัวตายถวายรัฐ

รัฐจึงถือว่าเป็นผู้ที่สามารถกำหนดความตายให้พลเมืองได้ เพราะเมื่อเราตายจึงต้องมีใครสักคนไปแจ้งอำเภอเพื่อรับการยินยอมจากรัฐในมรณบัตรเสียก่อนว่าตายจริงๆ

รัฐกับพระผู้เป็นเจ้าและเจ้ากรรมนายเวรจึงมีฟังค์ชั่นเดียวกัน ต่างก็ทำหน้าที่ควบคุมกำกับมนุษย์ ลิขิตชะตาชีวิต หรือให้มนุษย์เกิดมาก็เพราะชดใช้เวร และตายไปตามกฎแห่งกรรม

...ดังนั้น เวลาเสียภาษีแต่ละปีเราจึงรู้สึกเป็นเวรที่ต้องทำมากกว่าเป็นความสมัครใจ…

ด้วยเหตุนี้การที่ใครคนหนึ่งทำอัตวินิบาตกรรมนั้น จึงเป็นการท้าทายและปฏิเสธสถาบันศาสนา แล้วประกาศกร้าวเป็นเพลงป้าเบิร์ดว่า “นี่คือชีวิตลิขิตของเรา” หรือพูดให้เก๋หน่อยก็คือ ฉันมี “self-determine” ที่จะอยู่หรือตาย ไม่ว่าด้วยเหตุผลเพราะติดหนี้ เกรดตก อกหัก รักคุด ตุ๊ดเมินหรือจะอะไรก็ช่าง

เพราะเดี๋ยวนี้ใครๆก็เลือกที่จะทำตามความต้องการความฝันใฝ่ อย่างที่เด็กวัยรุ่นสมัยใหม่ล่าตามฝันด้วยการสมัครเข้าโรงเรียนกินนอนสอนร้องเพลง ให้คนทางบ้านได้โหวตได้เชียร์ได้ชม แสดงความเห็นต่างๆนานาตลอด24ชั่วโมง

หลังจากดูข่าวและอ่านข้อความแสดงความคิดเห็นใต้รายการมานาน จนนึกไปว่าเป็นรายการเรียลลีตี้ Academy Fatasia ฉันก็อดไม่ได้ที่ส่งsmsไปแสดงความคิดเห็นบ้าง

“ บอกไปแต่แรกแล้ว ว่าอย่าลงโทษอาจารย์หนุ่มที่ให้นักศึกษาหญิงอมนกเขาเพื่อแลกเกรด ...ก็ไม่เชื่อ ”

วันศุกร์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2551

โรงพยาบาลรัฐกับสำนึกของพลเมือง


เรื่องมันเกิดขึ้นเมื่อตอนฉันพาแม่ไปลอกต้อกระจกที่โรงพยาบาลของรัฐแห่งหนึ่ง ฉันทำใจไว้แล้วเสมอเวลาจะติดต่อหน่วยงานใดหน่วยงานหนึ่งของรัฐมักไม่ได้อย่างที่ต้องการ และนำไปสู่การใช้ปากเสียกันระหว่างเจ้าหน้าที่และประชาชนผู้เสียภาษี ซึ่งมันก็เป็นอย่างที่สังหรณ์ใจเสมอ ขณะที่กำลังยืนต่อคิวยาวเหยียดเพื่อจ่ายเงินค่ายาและค่าผ่าตัด ( เมื่อได้ใบเสร็จแล้วก็จะสามารถไปรับยาหลังจากนั้นจึงจะไปฟังขั้นตอนการใช้ยาแล้วก็ไปหาแม่ที่ห้องพักผู้ผ่าตัด ซึ่งแต่ละที่ที่ต้องทำอยู่คนละตำแหน่งคนละชั้นกัน ) ฉันเหลือบไปเห็นตัวอักษรเบ้อเร่อเบ้อร่าว่า “จ่ายยา” อยู่ใกล้ๆกับช่องที่ฉันต่อคิวรอเสียค่าพยาบาลอยู่ ฉันจึงหันมามองช่องที่ฉันต่อแถวอยู่บ้างมันเขียนว่า “ชำระเงิน” ด้วยฟอนต์และขนาดเดียวกัน


เรื่องทั้งหมดนี้ ถ้าอ่านเอาเรื่องก็คงจะได้ความว่า ถ้าจะจ่ายเงินช่องนี้ แต่ถ้าจะเอายาไปช่องถัดไป ก็ไม่เห็นมีอะไรผิดแปลก สะกดก็ถูก ฟอนต์ก็ปรกติ ถ้าอ่านออกเสียงก็ไม่รู้สึกเหมือนถูกกรรโชกแต่อย่างใด


แต่ฉันมันบ้า ดันอ่านไม่เอาเรื่อง...


ฉันจับประเด็นได้ว่า ข้อความที่เขียนทั้ง 2 ช่องนั้น เป็นข้อความที่โรงพยาบาลต้องการแจ้งให้ผู้ใช้บริการรับทราบ ว่าถ้าหากต้องการสิ่งใดให้ไปช่องนั้น ช่องทีเขียนว่า “จ่ายยา” นั้นหมายถึงประชาชนคนเจ็บไข้ที่ต้องการยาก็ให้ไปรับยาที่ช่องนี้ แล้วช่องข้างๆที่เขียนว่า “ชำระเงิน” นั้นต้องการจะบอกว่า ประชาชนผู้ป่วยไข้จะต้องเสียเงินเท่าไรก็ต้องไปช่องนี้


พอเข้าใจได้ดังนั้นฉันก็สงสัยขึ้นมาทันทีว่าป้ายนี้ต้องการจะบอกใคร ฉันหรือโรงพยาบาล
เพราะ “ชำระเงิน” กับ “จ่ายยา” ทั้ง 2 เป็นวลีที่เกิดจากคำกิริยา “ชำระ” กับ “จ่าย” บวกกับกรรม”เงิน” กับ “ยา” ซึ่งประธานถูกละไว้และถ้าหากจะทำให้เป็นประโยค ประธานนำหน้าคำกิริยา ก็จะต้องเป็นคำที่เกี่ยวข้องกับ โรงพยาบาลที่ฉันมารักษา ผู้ทำหน้าที่พิจารณาตัดสินจำนวนเงินและเป็นผู้จ่ายยาให้ผู้ใช้บริการ ส่วนผู้ที่ถูกกระทำหรือเป็นกรรมหลักของประโยคก็คือประชาชน ในรูปแบบประโยคเช่นนี้ ประชาชนจึงไม่สามารถเป็นประธานผู้กระทำเองได้ นอกเสียจากจะแก้ไขวลีให้เป็น“จ่ายเงิน” กับ “รับยา”


วลีดังกล่าวจึงไม่ได้เป็นการบอกเพียงว่าผู้อ่านต้องทำอะไรแต่บอกด้วยว่ารัฐทำอะไรกับผู้อ่านอยู่ ดังนั้นฉันจึงไม่ได้ต่อคิวเพื่อจ่ายเงินให้โรงพยาบาลแล้วรับยาจากโรงพยาบาล แต่ทว่าถูกคิดเงินแล้วโดนจ่ายยา
ดังนั้น “ชำระเงิน” กับ “จ่ายยา” จึงเป็นวลีที่ให้ประชาชนตระหนักถึงรูปแบบความสัมพันธ์ของตนกับรัฐว่า ใครที่เป็นผู้กระทำและใครเป็นผู้ถูกกระทำ ฉันเลยรู้สึกได้ทันทีว่าฉันเป็นเพียงพลเมืองตัวเล็กๆที่กำลังถูกกำกับภายใต้สายตาที่จับจ้องโดยรัฐ


โรงพยาบาลรัฐจึงไม่เพียงทำหน้าที่รักษาเยี่ยวยาความป่วยไข้ของพลเมืองแต่ยังขัดเกลาสำนึกที่มีต่อรัฐว่าใครเป็นผู้กระทำและเป็นประธานไม่ว่าในไวยากรณ์ภาษาหรือไวยากรณ์ชีวิต ถึงแม้ว่าประชาชนจะเป็นรัฐาธิปัตย์ มีอำนาจในการปกครองรัฐ แต่อำนาจนั้นก็ถูก”จ่าย”จากรัฐอีกที และแม้ว่าประชาชนจะเป็นผู้จ่ายภาษีเลี้ยงดูอุ้มชูรับ แต่สำหรับสายตารัฐแล้วมันไม่ต่างอะไรไปจากการ”ชำระเงิน”

เอ๊ะ !... รึว่าฉันไม่ได้อ่านไม่เอาเรื่อง แต่ฉันอ่านหาเรื่อง...

"เค้าเล่าว่า"


“ที่รัก.. เค้าบอกว่าหนังเรื่องนี้สนุกมากเลยนะ ไปดูกันไหม”
“แกรู้ไหม เขาเล่าว่าอีดาราคนนี้ดูใสๆเรียบร้อยแบบนี้นะ ตัวจริงน่ะ แรดจะตายชัก”
“นี่หล่อน... เค้าบอกว่า น้ำคลอโรฟิลล์ มันไม่ได้ช่วยให้ผิวดีขึ้นหรอกนะยะ”


ฉันมักได้ข้อมูลข่าวสารประเภทนี้อยู่เสมอ ไม่ใช่จากใครที่ไหนก็บรรดาคนรอบข้างฉันนี่แหละ ที่ไม่ว่าจะไปฟังใครเขาเล่ามาก็จะจำมาเล่าให้ฉันฟังทุกที ซึ่งพอจะเดาได้ว่า ตอนไปฟังมาก็จะข้อมูลที่ขึ้นประโยคด้วย
“เค้าบอกว่า...”


ฉันก็ไม่รู้ว่าสมควรจะเชื่อเพื่อนดีไหม แม้ว่าจะเป็นบุคคลที่เชื่อถือและไว้ใจ แต่ไอ้เรื่องที่ไปฟังมาไม่รู้ว่าน่าเชื่อถือได้รึเปล่า เพราะ ”เขา” หรือ ”เค้า” คนนั้นเป็นใครก็ไม่รู้ อาจทีมวิจัยจากอีรีนอยส์ หรือ หมอผีในปาปัวนิวกีนี หรือบางที... ไม่มีตัวตน


การที่ไม่มีอะไรอ้างอิงมันจึงเป็นเรื่องที่ชวนให้ลำบากใจให้เชื่อถืออยู่ไม่น้อย


ถึงจะกระนั้นก็เถอะ การที่มีอ้างอิงก็ดูเหมือนจะเป็นเรื่องฟุ่มเฟือยไปในความรับรู้ของเรา เวลาทำรายงาน เขียนบทความจึงรู้สึกว่า พวกเชิงอรรถ บรรณานุกรม มันช่างวุ่นวาย เรื่องมาก หลายคนพาลคิดไปว่าเป็นความโก้เก๋และเป็นสิ่งตกค้างทางวัฒนธรรมตะวันตกหลังยุคล่าอาณานิคม อย่าแค่ให้เขียนเลย อ่านยังไม่อยากก่านด้วยซ้ำ


การที่ไม่มีอะไรอ้างอิง หรือแหล่งที่มา ความรู้จึงกลายเป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้ พิสูจน์ไม่ได้ว่าจริงหรือไม่จริง ตรวจสอบไม่ได้ว่าถูกหรือผิด หรืออย่างที่คนสมัยใหม่ชอบพูดว่า ”ไม่โปร่งใส”


ความรู้ประเภทจับต้องไม่ได้นี้ ฉันว่ามันช่างเหมาะเจาะกับสังคมชาวนาสังคมชาวพุทธอย่างของไทยเสียนี่กระไร ความรู้ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ได้ก็ขึ้นมาลอยๆด้วยตนเอง ไม่มีการอ้างอิง และไม่มีการจดบันทึก เป็นเพียงการท่องจำฟังตามกันมา กว่าจะจดบันทึกเป็นพระไตรปิฎกก็ล่อไปเกือบ 500 ปีหลังจากปรินิพพาน พระสงฆ์ที่ขึ้นธรรมาสน์เทศนาก็ไม่มีบทร่างเอาไว้เป็นลายลักษณ์อักษร อีกอย่างการปลูกไร่ไถนาเลี้ยงหมูดูหมาจึงไม่จำเป็นต้องรู้หนังสือ


เราจึงชอบที่จะเล่าจะฟังมากกว่าขีดๆเขียนๆเอง คนที่กล่าวสุนทรพจน์ได้โดยไม่มีสคริปจึงดูเจ๋งกว่าคนที่มีสคริปให้พูด เพราะการอ่านจึงเป็นเรื่องที่ไม่น่าพิสมัยและไม่ธรรมชาติ เสมือนไกลตัวออกไป


ทุกวันนี้แต่ละช่องทีวีจึงดกดื่นไปด้วยรายการที่ให้นักข่าวออกมาอ่านข่าวอ่านนิตยสารให้เราฟังทุกเช้า เพราะผู้ชมโดยเฉพาะอย่างยิ่งประเภทฉันขี้เกียจที่จะเปิดอ่านหนังสือพิมพ์นิตยสารเอง ด้วยเหตุประการฉะนี้นิตยสารจึงต้องมีจุดขายและเรียกผู้อ่านด้วยภาพถ่ายแฟชั่นมากกว่าบทความข้างในข้างใน


ซึ่งนับว่าเป็นข้อดีที่คนไทยยังไม่ลืม ”กำพืด” หรือพูดให้เสนาะหูหน่อยก็คือ ยังมีสำนึกรักษ์บ้านเกิด ท่ามกลางความพยายามถีบตัวเองออกจากสังคมการเกษตรสู่อุตสาหกรรม ระบบการศึกษาย้ายจากวัดมาสู่รัฐ เมืองหลวงที่รถติดเป็นอันดับต้นๆของโลกถูกพยายามแปรรูปให้เป็นเมืองหลวงแห่งแฟชั่นแถวหน้าของโลก ( ถึงขนาดเคยปิดถนนให้รถติดกว่าเดิมเพื่อเดินแบบอีกแน่ะ ) ที่ยังคงรักษากระบวนการถ่ายทอดข้อมูลข่าวสารความรู้แบบปากต่อปากเป็นมุขปาฐะ มากกว่าลายลักษณ์อักษร

เพราะฉะนั้นที่ ”เค้าบอกว่า” คนไทยอ่านหนังสือปีละไม่ถึง 10 บรรทัด... ฉันจึงไม่กังวลอะไร

วันศุกร์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

ครอบครัว


เป็นเรื่องที่น่าเศร้า เพื่อนบ้านที่ฉันรู้จักคนนี้ หล่อนเป็นผู้หญิงประเภท แก่ เป็นโสด อยู่กับหมาต่างลูกและผัว ซึ่งดูเหมือนว่ากำลังจะมีโครงการเลี้ยงอาหารเย็นให้หมาจรจัดในซอยที่เธออยู่ในไม่ช้า หล่อนเคยบอกกับฉันว่า อยากแต่งงานมีผัวเลี้ยงลูก แต่ด้วยความเป็นลูกสาวคนโต และน้องชายก็แต่งงานแยกไปอยู่บ้านของตัวเอง ในบ้านจึงเหลือกันแค่ 4 คน เมื่อรวมพ่อแม่และน้าสาวซึ่งแก่เฒ่าเต็มที ดังนั้นเวลาทั้งหมดที่หล่อนจะใช้จับผู้ชายมาทำพ่อของลูก จึงถูกแปลงให้เป็นเวลาดูแลพ่อแม่และน้า ไม่สามารถตระเวนราตรี หรือไปสังสรรค์ได้ พอเลิกงานก็ต้องรีบกลับบ้าน เสาร์อาทิตย์ก็อยู่กับพ่อแม่พาไปทานข้าวเย็นบ้างหรือพาไปหาหมอตามที่นัดไว้บ้าง ชีวิตหล่อนวนเวียนอยู่อย่างนี้จนกระทั่งพ่อแม่และน้าตายลง


คราวนี้หล่อนสามารถหาเวลาสืบพันธุ์ได้แล้ว แต่เมื่อถึงเวลานั้นหล่อนก็พบว่าตัวเองหมดวัยเจริญพันธุ์เสียแล้ว


ฤดูร้อนที่ผ่านมา ฉันพบหล่อนที่สัตว์แพทย์ใกล้บ้าน ตอนฉันพาหมาไปฉีดยา เราจึงคุยกันตามประสาคนรักหมาแต่คนรักไม่มี หล่อนบอกว่ามีความสุขมากที่อยู่กับลูกๆของหล่อน


ลูกๆของหล่อนคือชิทสุที่หล่อนกำลังอุ้มและรวมไปถึงลูกอีกหลายตัวและหลายพันธุ์ต่างๆรวมกันที่อยู่ในบ้านเธอ


หลังจากพาหมาไปหาหมอ ฉันไปคลายร้อนที่สระว่ายน้ำคอนโดเพื่อนที่ซื้อไว้เป็นรังรักกับเกย์หนุ่มที่เจอกันในผับ เพื่อนฉันกับผัวอยู่กินด้วยกันจนเกือบครบทศวรรษ ซึ่งเป็นระยะเวลาที่หาไม่ได้ในความสัมพันธ์ของฉัน


ทั้งคู่ต่างมีแหวนที่เหมือนกันคนละวงที่นิ้วนางข้างซ้าย เปิดบัญชีร่วมกัน ทำนิติกรรมร่วมกัน ทำประกันชีวิตให้แก่กัน พวกเขาอยู่กันอย่างอบอุ่นและมีความสุขกับสถานภาพที่พวกเขานิยามว่า “ครอบครัว” แม้ว่าไม่เคยเดินไปจดทะเบียนที่อำเภอหรือมีลูกมีเต้า แต่ทั้งคุ่ไม่เคยรู้สึกขาดพร่องหรือเป็นปมด้อยแต่อย่างใด


คำว่าครอบครัวของทั้งเพื่อนเกย์ และเพื่อนบ้านของฉันมันจึงไม่ใช่ “ครอบครัว” อย่างในตามแบบฉบับตำราสังคมศึกษาที่ฉันเคยอ่าน ไม่ได้เป็นครอบครัวแบบสำเร็จรูปที่จะต้องมี คุณพ่อโอบอ้อม คุณแม่อารี อยู่กันพร้อมหน้าเพื่อทำหน้าที่ผลิตสมาชิกในครอบครัวที่เชื่อฟังคำสั่งสอนให้เป็นเด็กดีมีหน้าที่ 10 อย่างด้วยกัน และจะต้องเป็นความสัมพันธ์ที่มีบรรยากาศอบอุ่น ( ทั้งที่ภูมิประเทศอยู่ในเขตร้อนจะตายชัก ) กรุ่นไอรัก เพื่อให้ลูกอันเป็นที่ฝากความหวังของทั้งชาติไม่มีปมด้อย เป็นเด็กปัญหา เล่นยา มั่วเซ็กซ์ ติดเกมส์ขลุกอยู่แต่ร้านอินเตอร์เนท หรือวันๆเอาแต่เดินเที่ยวห้างสรรพสินค้า ตระเวนราตรี


คำนิยามของสถาบันครอบครัวในอุดมคติ ที่พ่อแม่ต้องมีหน้าที่ดูแลลูกด้วยความรักใคร่ อบรมสั่งสอนด้วยความเมตตา พ่อแม่ต้องสภาวะทางอารมณ์มั่นคง ไม่แปรปรวน ไม่แสดงความรุนแรง ฉันว่ามันสร้างปัญหามากกว่าการเลิกราอหย่าร้างหรือการเป็นเด็กกำพร้าเสียอีก


เพราะหน้าที่สำคัญของพ่อแม่ที่ว่าต้องลี้ยงลูกด้วยความรักนั้น เป็นการนำ2สิ่งที่แตกต่างกันคนละขั้วมาผสมเป็นสิ่งเดียวกันเหมือนคลุกแกงเลียงกับสลิ่มมาเป็นอาหาร


จับเอาความรักที่เป็นอารมณ์ ซึ่งโดยปรกติไม่คงที่ เป็นอะไรที่ตามใจฉัน สามารถขึ้นลงได้ตลอดแล้วแต่สถานการณ์ ตอนนี้รักหมา วันนี้รักตัวเอง เวลานี้รักชอปปิ้ง คืนนี้รักเที่ยว แปลงให้เป็นหน้าที่ ซึ่งเป็นอะไรที่จะต้อง ”ทำ” ปฏิเสธหรือเกี่ยงไม่ได้ จำต้องรักลูกรักผัวก่อนอย่างอื่นรวมไปถึงตัวเอง


และสิ่งที่ได้จากหน้าที่ของครอบครัวในตำราก็คือ พ่อแม่ที่ชอบพูดว่า “เลี้ยงลูกให้เติบใหญ่ ไม่หวังอะไรจากลูกขอให้ลูกเป็นคนดีก็พอ” นั้น เพ้อเจ้อสิ้นดี


เพราะหน้าที่ของพ่อแม่ก็เพื่อทำให้สมาชิกใหม่ของครอบครัวเป็นไปตามความคาดหวังของสังคมซึ่งร่วมถึงพ่อแม่ด้วยในฐานะสัตว์สังคม ถ้าพ่อแม่ไม่ได้หวังอะไร แล้วทำไมต้องพาลูกไปหาจิตแพทย์ทันทีที่พบว่าลูกชอบเพศเดียวกัน และทำไมต้องกลัดกลุ้มเมื่อรู้ว่าลูกสาวสุดรักสุดหวงของตนกำลังหลงรักกับวินมอเตอร์ไซค์ชาวกาฬสินธุ์


ทันทีที่ผลผลิตของตนไม่ตรงอย่างที่คาดหวังพ่อแม่หลายคู่หลายคนก็คิดว่าตนเป็นบุพการีสอบตก แบกความรู้สึกผิดกลับมาโทษตัวเองว่าเลี้ยงแกไม่ดีแต่แรกเอง บ้างก็ว่าเป็นตัวอย่างที่ไม่ดี ใช้ความรุนแรง ไม่มีเวลาให้ ไม่ยอมอยู่พร้อมหน้า ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นการโบ้ยความผิดของรัฐ ที่ไม่ว่าจะเกิดปัญหาสังคมเรื่องอะไร เป็นต้องหันมาโทษหน่วยเล็กๆของสังคมที่ชื่อครอบครัวอยู่ร่ำไป แม้ว่าจะเป็นปัญหาระดับมหภาคก็ตาม ราวกับว่าโลกนี้ไม่เคยมีการก่ออาชญากรรมมาก่อน แล้วพ่อแม่มันสังเคราะห์แสงได้เองเลยไม่ต้องออกไปทำมาหากิน วันๆนึงนั่งให้นมป้อนข้าวลูกกิน


แล้วที่แย่กว่านั้นรัฐไม่เคยเลิกล้มความพยายามในการนำเอาอารมณ์มาแปรสภาพให้เป็นหน้าที่เพื่อผลิตสมาชิกใหม่ของสังคม


อย่างน้อยที่สุด ประการแรกของหน้าที่ของสถาบันครอบครัวที่บัญญัติในตำราเรียนข้อแรกก็คือ การผลิตสมาชิกใหม่ให้สังคม ซึ่งเป็นที่น่าสับสนว่าการปี้ๆเอาๆกันถูกสถาปนาเป็นหน้าที่ตั้งแต่เมื่อไรกัน ถ้ามันไม่เกิดอารมณ์มันจะเอากันไหม แล้วฉันอยากจะสารภาพว่า


“ที่กูเอากับผัวกูทุกวันเนี่ยะ เพราะกูเงี่ยน ไม่ได้คิดถึงการปฏิบัติหน้าที่ต่อสถาบันเลย”


ดังนั้นความหมายของครอบครัวจึงบรรจุแต่เรื่องของหญิงรักชาย ชายรักหญิง ที่มีลูกได้ ( ไม่งั้นเรียกว่าครอบครัวไม่สมบูรณ์ ) แต่ถึงกระนั้นก็ต้องมีลูกหลังเรียนจบทำการทำงาน มิฉะนั้นไม่เรียกว่าเป็นครอบครัว แต่เรียกว่า “ใจแตก”

โดยการนิยามประเภทนี้ทำให้ คู่เกย์ คู่เลสเบี้ยน หญิงแก่ที่อยู่กับหมา ปลาสนาการจากความหมายขอสถาบันครอบครัว เพราะไม่สามารถจดทะเบียนสมรสหรือและรับรองเป็นลูกได้ตามกฎหมาย รวมไปถึงไม่สามารถแจ้งเกิดภายใน 15 วันได้ว่าอีด่างมันตกลูกจำนวนคอกละกี่ตัว


ขณะที่วันครอบครัวของทุกปีที่รัฐกำหนด หลายคนต่างกลับบ้านกลับช่องภูมิลำเนาเดิมเพื่อไปอยู่กับบุคคลที่มีชื่อในทะเบียนบ้าน ไปอยู่กับ”ครอบครัว”ที่รัฐให้ความหมาย


การพาหมาไปหาหมอเพื่อฉีดยากันเชื้อบ้าในวันครอบครัวจึงนอกเหนือความเข้าใจการอยู่กับครอบครัวในแบบที่รัฐจำกัดความ การจูงมือไปทำบุญตอนเช้าและไปเล่นน้ำที่อตก.ตอนดึกของคู่เกย์จึงไม่ใช่กิจกรรมประสาครอบครัวในวันครอบครัวตามที่สังคมคาดหวัง


เพราะครอบครัวมันโยงถึงความสัมพันธ์ของพลเมืองที่มีต่อรัฐ และหน้าที่ของบุคคลที่มีต่อสังคม ไม่ใช่เรื่องของปัจเจกบุคคลกับความต้องการ

ดังนั้นฉันจึงกลับมาคิดได้ว่า อันที่จริงครอบครัวมันก็เป็นเรื่องของหน้าที่นี่หว่า...

วันพฤหัสบดีที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

เกย์กับเอดส์ ชาตินี้เราจะไม่พรากจากกัน



ได้ข่าวจากหนังสือพิมพ์มาว่า เด็กชายมัธยมต้นคนหนึ่งถูกลวงไปข่มขืน โดยข่าวรายงานว่า ชายที่ลวงไปตุ๋ยมีลักษณะเป็นรักร่วมเพศ หวั่นจะมีเชื้อ HIV จึงเร่งให้เหยื่อกินยาระงับเชื้อโดยด่วน


ฉันได้แต่สงสัยกับเนื้อข่าว ว่าทำไมเด็กที่ถูกบุคคลผู้ซึ่งข่าวยังใช้คำว่า”รักร่วมเพศ”อยู่ ทำกิริยา ”ตุ๋ย” จะต้องรีบกินยาต้านเอดส์ แล้วเหยื่อผู้หญิงที่ถูกผู้ชายหื่นกามมันอึ๊บเอาล่ะ ไม่ต้องกินยารึไง


ฉันก็ไม่รู้ว่าข่าวเลือกที่จะไม่ลงว่าผู้หญิงต้องกินยาต้าน หรือ ทางแพทย์ที่เป็นฝ่ายเลือกเองว่าเหยื่อของไอ้หื่นกามเพศไหนที่จะต้องกิน


อย่างไรก็ตาม มันก็ทำให้ผู้เสพข่าวอย่างฉันรู้ว่า บุคคลที่มีลักษณะชอบมีเพศสัมพันธ์กับชายด้วยกัน มีความน่าจะเป็นเอดส์ได้มากกว่าผู้ที่มีลักษณะนิยมสมสู่กับเพศตรงกันข้าม และกลายเป็นว่า เอดส์เป็นโรคที่เกิดเฉพาะกลุ่มชายร่วมเพศกับชายด้วยกัน ไม่เกิดในกลุ่มผู้ชายที่ร่วมเพศกับผู้หญิง


ที่เกย์กับเอดส์จับคู่เข้าหากันก็คงเพราะ เมื่อปี 2527 พบว่าคนไทยติดเชื้อ HIV คนแรก เป็นเกย์ ซึ่งจากนั้นเป็นต้นมา เกย์ กะเทยก็ถูกจับมาคู่กับเอดส์เป็นอินกับจัน


เกย์กับเอดส์ จะคล้ายกันตรงที่เป็นคำยืมมาจากภาษาอังกฤษ แล้วนิยมใช้จนรู้สึกเหมือนภาษาไทย แต่ทั้ง 2 ก็กลายเป็นของคู่กันและสนิทกันมากพอที่สภากาชาดรู้สึกหนาวๆห้ามไม่ให้ชายรักเพศเดียวกันบริจาคเลือด ด้วยอ้างว่ากลุ่มคนดังกล่าวมีความน่าจะเป็นและอัตราเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอดส์


ราวกับว่าทางธนาคารเลือดไม่มีการตรวจสอบเลือดที่ถูกนำเข้าไปเก็บรักษา


เพื่อนเกย์จิตสาธารณะเคร่งศาสนาของฉันคนหนึ่งไปบริจาคเลือดที่โรงพยาบาล นางพยาบาลถามอย่างชัดถ้อยว่า "ท่านหรือคู่ของท่านมีเพศสัมพันธ์กับเพศเดียวกันหรือไม่" เพื่อฉันได้แต่พาซื่อตอบไปว่าเคย ไพล่นึกว่านางพยาบาลนางนี้อยากเป็นมิตรแบบปฐมภูมิ สามารถพูดคุยได้ทุกเรื่องทั้งเรื่องส่วนตัวและสาธารณะ จึงถามกลับไปว่า “แล้วคุณเคยร่วมเพศกับคนในครอบครัวบ้างไหม ฉันน่ะไม่เคยหรอกนะ ที่ถามเพราะตามหน้าที่”


แม้ว่าทางสภาจะเปิดไฟเขียวให้บริจาคเลือดได้และเลิกคำถามไร้ยางอายที่ว่า แต่อคติทางเพศว่าเกย์ต้องคู่กับเอดส์ก็ยังคงอยู่


เหมือนที่ฉันไปซื้อกับข้าวหน้าปากซอย สายตาแม่ค้ากำลังจับจ้องตุ๊ดนางหนึ่งอย่างหมั่นไส้แกมขบขัน ร่างหลอนผอมเพรียวแทบปลิวลม เดินระเหิดระหงไปมาในตลาด หลังจากที่เดินผ่านไปยังไม่พ้นไปไหน แม่ค้าหยิบผักใส่ถุงพลาสติกพลางกระซิบกับฉันว่า ดูสิผอมเชียว สงสัยอีนี่มันต้องเป็นเอดส์ชัวร์...


ฉันได้พยักหน้าพยักตารับฟัง ในใจสับสนอยู่แต่ประโยคหลัง สรุปว่าป้าสันนิษฐานหรือมั่นใจว่าเขาเป็นเอดส์กันแน่


ในสังคมที่เชื่อว่าความอ้วนเป็นอาชญากรรมสังคม เกย์ก็อยากผอมสะโอดสะองค์ร่างระหงบ้าง แต่พอผอมกลับถูกมองว่าเป็นเอดส์ พออ้วนก็โดนด่า หาว่าอีนี่เกิดเป็นตุ๊ดสะเปล่ายังจะอ้วนอีก ไม่รู้จักดูแลตัวเองเล้ยยย...อีกะเทยควาย


เกิดเป็นเก้งเป็นกวางนี่ รันทดจริงๆ ไม่มีโอกาสบริจาคเลือดยังไม่พอ ทำประกันชีวิตบางสำนักก็ไม่ได้ จะรับราชการเป็นครูบาอาจารย์ก็ถูกกีดกันเพราะว่าจะเป็นตัวอย่างที่”ไม่ดี” พอผอมก็หาว่าเป็นโรค พอมีเงินถุงเงินถังเข้าหน่อยก็โดนด่า หาว่ามีเสี่ยเลี้ยงไม่ก็ไปขายตัวมา ได้เงินด้วยการแลกหยาดเหงื่อแรงกาม แต่พอยากจนข้นแค้นก็กลายเป็นขี้ปากอีกว่าอีนี่มันโง่โดนผู้ชายหลอกแดก


...สรุปต่อให้หายใจเข้า-ออกกูก็ถูกด่าด้วยใช่ไหม...


บางทีคงไม่ได้ซวยที่เกิดแบบนี้แต่ซวยที่เกิดในสังคมพรรค์นี้ สังคมที่มักรังเกียจ “ความแตกต่าง” แล้วสร้าง ”ความเป็นอื่น” ด้วยการเอาสิ่งที่สังคมรังเกียจไม่ต้องการไปนิยามและตีตรา อย่างน้อยที่สุดก็ความเจ็บไข้ได้ป่วย


แม้ว่าเกย์คนนั้นจะป้องกันหรือไม่เคยมีเพศสัมพันธ์ก็ตาม เพราะความป่วยไข้และโรคร้ายคืออีกความหมายและเครื่องมืออย่างหนึ่งที่ใช้นิยามตัวตนของคนชายขอบคนที่ถูกมองว่าไม่ใช่”พวกเรา”ให้ดูมีพิษมีภัยเป็นอันตรายต่อสังคม เหมือนที่ครั้งหนึ่งทางสาธารณะสุขเคยกล่าวว่าแรงงานต่างด้าวที่เข้ามาทำมาหากินไทยผู้นำวัณโรคโรคมาแพร่ระบาด


เกย์ กะเทย และ แรงงานพม่า จึงตกอยู่ที่นั่งเดียวกันคือเป็นทั้งชนชายขอบและชนกลุ่มที่มักสร้างปัญหาให้กับความปลอดภัยของสังคม ทั้งที่ความเป็นจริงวัณโรคเกิดจากแบคทีเรียที่กระจายอยู่ในอากาศและเอดส์ก็เกิดจากไวรัสที่ผ่านการร่วมเพศ ไม่ได้เกี่ยวกับเชื้อชาติหรือรสนิยมทางเพสแต่อย่างใด


อันที่จริงจะตัดพ้อสังคมที่นิยมร่วมเพศระหว่างจู๋กับจิ๋มไม่ได้ที่พยายามสร้างวาทกรรมให้การร่วมเพศระหว่างจู่กับตูดเป็นพาหะแพร่เชื้อ เพราะดูเหมือนว่าบรรดาคุณเก้งคุณกวางๆทั้งหลายเองก็มีส่วนผลักดันให้วาทกรรมวาทเวรเกย์อยู่คู่กับเอดส์ดำรงอยู่อย่างหน้าชื่นตาบาน


เมื่อคืนก่อนฉันไปสำเริญสำราญกับเพื่อนพ้องยังสถานเริงรมย์ ได้รับแจกถุงยางอนามัยที่บรรจุในห่อข้อความเกี่ยวกับเชื้อเชิญเกย์ตรวจเลือดแถวสีลม ซึ่งเป็นบริการฟรีขององค์กรไม่หวังผลกำไรชื่อดังเกี่ยวกับชายรักชาย


ซึ่งฉันคาดว่าองค์กรและเอ็นจีโออื่นๆที่เกี่ยวกับเกย์กะเทยต้องมีกิจกรรมอะไรให้ทำเยอะแยะมากกว่านี้นอกเหนือจากแจกถุงยางจนเกร่อเกรื่อน แต่ที่ปรากฏต่อสายตาสังคมกลับเจาะจงเฉพาะเรื่องการติดเชื้อจากการร่วมเพศ อย่างชวนเกย์ไปตรวจเลือด ให้คำปรึกษาปัญหาสุขภาพ จัดค่ายทักษะชีวิตพิชิตเอดส์ จนดูราวกับว่ามันเป็นโรคภัยไข้เจ็บของชุมชนของคนรักเพศเดียวกัน


จะว่าไปกิจกรรมพวกนี้น่าจะเป็นกิจกรรมขององค์กรคาธอลิคมากกว่า เพราะคนกลุ่มนี้เชื่อว่าการคุมกำเนิดเป็นเรื่องผิดศีลธรรมและการใช้ถุงยางก็เป็นบาป


การตะบี้ตะบันแจกถุงยางตามเกย์สถานและเกย์นิคมอย่างไม่กลัวโรคร้อน จึงเป็นสภาวะยอมจำนนของเกย์ต่อการถูกนิยามตัวตนที่สังคมยัดเยียดให้ แม้ว่าจะเกิดจากความหวังดีของคนในกลุ่มด้วยกันเองที่มีสถิติรายงานว่าเป็นกลุ่มที่มีผู้ติดเชื้อHIVจำนวนมาก แต่มันก็เป็นงานวิจัยเชิงปริมาณจากกลุ่มรักเพศตรงกันข้ามที่เต็มไปด้วยอคติและมายาคติ ซึ่งคนพวกนี้แหละที่จำเป็นต้องใช้ถุงยางมากที่สุด เพราะยิ่งมีลูกมีหลานมากเท่าไรก็ยิ่งผลิตซ้ำทัศนคติแบบเดิมและทำให้แพร่ระบาดรุนแรงกว่าเอดส์เสียอีก


อีกอย่างถุงยางอนามัยที่องค์กรเกย์แจกกันอยู่น่ะ มันก็มีไว้สวมจู๋เพื่อเอากะจิ๋มไม่ใช่กะตูด เพราะฉันเห็นเค้าเขียนไว้เป็นภาษาไทย อังกฤษ ญี่ปุ่น ฮ่องกง ในคู่มือยู่โทนโท่ว่า “การใช้ถุงยางอนามัยสำหรับเพศสัมพันธ์ทางอื่นนอกจากช่องคลอด อาจทำให้เสี่ยงต่อการลื่นหลุด หรือฉีกขาดของถุงยางอนามัยได้”


แม้ว่าถุงยางจะถูกแจกฟรีโดยองค์กรเกย์ก็ตาม แต่มันก็ไม่ได้ให้ใช้ร่วมเพศแบบเกย์ สรุปแล้วจึงไม่มีอุปกรณ์สำหรับร่วมเพศอย่างปลอดภัยในกลุ่มเกย์ และก็ไม่เห็นมีบริษัทไหนคิดจะผลิตถุงยางสำหรับร่วมเพศทางทวารหนัก ทั้งๆที่มีการโพลล์สำรวจว่าเกย์เปลี่ยนคู่นอนกันบ่อยกว่าผู้หญิงผู้ชาย

...ด้วยเหตุนี้ เกย์ กับ เอดส์ ชาตินี้คงไม่พรากจากกัน...

วันอาทิตย์ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

คำสารภาพของคนเคยมีรัก


แล้วเจ้าหญิงก็ตื่นจากบรรทมอันยาวนาน เมื่อเจ้าชายจุมพิต หลังจากนั้นทั้ง 2 จึงเข้าวิวาห์และครองรักกันตราบนานเท่านาน

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า คนบางคนต่อให้นอนเฉยๆก็มีผัวได้ โดยไม่ต้องลงมือลงแรงอะไรอะไร
ต่างกับฉัน ไม่ว่าจะ ให้เพื่อนหาให้ แชทในเนท แต่งตัวยั่ว ทำตัวแอ๊บแบ๊ว แกล้งเมาไปจนถึงมอมเหล้าผู้ชาย ก็ยังหาไม่ได้อยู่ดี นานๆทีจะมีคนหลังเข้ามา แต่อยู่ได้ไม่นานก็หลุดออกไป


...การมีคนรักได้สักคนมันยากเหลือเกิน แต่กว่าจะมีคนรักดีๆมันยิ่งยากกว่า…


แค่คนที่พอใจและพร้อมจะให้ฉันหนุนนอนในอ้อมกอดและเต็มใจรับหัวใจและกายฉันอย่างไม่อึดอัดใจ คนที่ฉันจะพูดคุยได้ทุกเรื่อง ยอมรับและให้อภัยฉันทั้งข้อดีและข้อเสีย บนโลกที่หนาแน่นหลายล้านคน แค่คนๆเดียวมันไม่มีเลยหรือ


จะมีใครสักคนบ้างที่รู้ว่า หลายคืนที่ฉันต้องรู้สึกโดดเดี่ยวใต้ลูกบอลดิสโก้กับผู้คนคลาคล่ำและเสียงเพลงอึกทึก หลายค่ำที่ฉันหลับไปพร้อมกับความว้าเหว่ เดียวดาย หลายครั้งที่เบื้องหลังรอยยิ้มและเสียงหัวเราะมันคือหยาดน้ำตา


ฉันดูเหมือนคนปากกล้า ร้ายกาจ บ้าบิ่น เพี้ยน เจ้าทฤษฎี เข็มแข็ง เด็ดเดี่ยว ไม่แคร์ใครไร้ซึ่งความเมตตาสงสาร กะล่อนเจ้าชู้ ตลกโปกฮา ฉันสารภาพว่าแท้จริงมันคือเครื่องรางของขลัง ชุดเกราะและโล่เหล็ก เพื่อปกป้องไม่ให้ความอ่อนแอ ขลาดกลัว ระแวง อ่อนไหว และเต็มไปด้วยความรู้สึกและอารมณ์ มันรั่วไหลออกมาให้ใครเห็น


ฉันเฝ้าใฝ่ในรักอันเหลือเชื่อ ที่เหมือนในนิยาย ในละครที่เคยหลงใหลได้ปลื้มชวนยิ้มกับความรักที่ตัวละครคู่หนึ่งมอบให้แก่กัน แต่ทันทีที่มีรัก ฉันกลับรักษามันไว้ไม่อยู่ทุกที ไม่ว่าจะจบลงด้วยเหตุผลใดฉันไม่เคยหลีกหนีความรู้สึกได้เลยทุกที ในหัวใจ มันว่างเปล่าแต่หนักหน่วงคอยถ่วงให้ความรู้สึกทุกอย่างดูหดหู่ ในหัวสมองมันวนเวียนแต่เรื่องเดิมๆเก่าๆเรื่องของเขา ข่มตาให้หลับไม่ลงสักที แต่ทันทีที่ตื่นเรื่องเขาก็เข้ามาในหัวทันทีให้คิดต่อ วนไปวนมา

ทุกครั้งหัวใจช้ำจนมันชา พาลคิดไปว่าคงรักใครไม่ได้อีกต่อไป เฝ้าบอกตัวเองว่า “ พอกันที ” แต่สุดท้ายก็เผลอมีความรักอีกครั้งให้หัวใจชุ่มฉ่ำอีกที แต่แล้วในที่สุดมันก็วกกลับมาเหมือนจุดเริ่มต้น... อยู่ตัวคนเดียวและความเจ็บปวดที่มองไม่เห็นแต่ไม่เคยห่างกาย


เป็นแบบนี้ทุกทีทุกครั้งทุกคน ซ้ำไปซ้ำมา แต่แปลกที่ไม่เคยเข็ด... ทว่าไม่เคยชิน


ฉันก็เหมือนกับใครๆหลายคนที่ไม่อยากขาดรัก เพราะมันดูน่าเศร้า น่าหดหู่ แม้ว่าจะไม่หม่นหมองชวนน่าเศร้าใจเท่ากับตอนที่ต้องเลิกรากันที่ทั้งเจ็บปวดและกัดกร่อนหัวใจ แต่ก็ดูเหมือนว่าทุกคนพร้อมที่จะยอมเอาตัวและหัวใจเข้าเสี่ยงเพื่อไม่ต้องขาดรัก


ใครหลายๆคนต่างก็ไปไหว้พระตรีมูรติที่เซ็นทรัลเวิร์ลด์ เพราะว่ากันว่าจะนำมาซึ่งความรัก
ถ้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริง และสามารถประทานคนรักได้จริงๆ ถ้าอย่างนั้นช่วยสาปให้ฉันรักใครไม่เป็นด้วยเถอะ


เพราะทุกครั้งเช่นกันที่ความรักสลัดฉันออกจากมัน มันเจ็บปวด ทรมาน เหมือนถูกเหวี่ยงออกจากเครื่องหมุน มันทั้งเสะบักสะบอม และทรงตัวไม่เคยอยู่ แม้ว่าทุกครั้งที่มีความรักมันทำให้ฉันรู้สึกเด็กลง กลับไปสู่วันเยาว์อีกครั้ง ขณะเดียวกันก็รู้สึกมั่นใจเหมือนเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว เพราะคงเข้าใจมาตลอดว่าความรักเป็นเรื่องของผู้ใหญ่ แต่มันก็เป็นได้ที่ไม่คุ้มเสีย


ความรักทำให้ฉันต้องหนาวสั่นมากแค่ไหน หัวใจฉันก็ยิ่งเหน็บมากแค่นั้น ยิ่งชอกช้ำรักมากเท่าไรหัวใจยิ่งด้านช้าเท่ากัน แม้จะทำให้เข็มแข็งมากขึ้นเพียงใดมันก็หยาบกร้านและถูกกัดกร่อนมากพอกัน

ลาก่อน...ความรัก มึงไปสิงหัวใจคนอื่นซะ ก่อนที่มึงจะแตกสลายไปพร้อมกะหัวใจกู อีห่าลาก

วันจันทร์ที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2551

ใครว่า “ เปรม ” เป็นตุ๊ด


ด้วยความสัตย์จริง ขอสารภาพ ณ ตรงนี้ในฐานะยัปปี้คนหนึ่งเลยว่า ฉันไม่ได้มี active citizen และไม่มีความรู้อะไรเกี่ยวกับการเมืองเรื่องรัฐเอาสะเลย จะรู้จักและแอบชื่นชมในความแกร่งของ เบเนอร์ซี บุตโต ก็เมื่อตอนเธอตายไปแล้ว แต่ไม่รู้ว่าตอนเธอบริหารปากีสถานก็คอรัปชั่นเหมือนกัน ไม่ได้ใส่ใจสักนิดว่าวีรชนคนเดือนตุลาที่ตายไปมี 1 ศพอย่างที่ใครสักคนพูดเป็นตุเป็นตะ หรือมากกว่านั้น อันที่จริงก็ไม่ไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่า 14 ตุลา กับ 6 ตุลาต่างกันอย่างไร


เพราะมันไม่ได้ช่วยให้ผิวใต้วงแขนขาวขึ้น ทำให้การหิ้วโน้ตบุ๊กไปจีบกาแฟที่ เจ-อเวนิว มันสะดวกกว่าเดิม รังมีแต่จะทำให้เครียดแค้น เจ็บปวด หดหู่ มีผู้แทนราษฎรแต่ไม่เคยทำอะไรแทนราษฎรสักอย่าง
รู้แค่ว่ามีหน้าที่เคารพกฎหมายและข้อบังคับของรัฐและมีหน้าที่เลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย ( หรือตามพิธีกรรมก็ไม่รู้ เพราะสมัยฮิตเลอร์ก็มีการเลือกตั้ง รวมไปถึงพม่าเองก็มีการเลือกตั้งเหมือนกัน )


ฉันไม่ได้เป็นพลเมืองแต่เป็นเพียงไพร่ฟ้า ( ที่ห่วงแต่ ) หน้าใสกับปากท้องมากกว่าที่จะห่วงว่า ใครจะเป็น ” นอมินี ” ให้ใคร หรือจะบริหารแบบ ” แดกไปเห่าไป ”

เช่นเดียวกับรัฐบาลที่มองพลเมืองเป็นไพร่ของมูลนาย นายกรัฐมนตรีที่มากับรถถังจะไปห่วงอะไรกับประชาชนนั่งรถเมล์ นายกรัฐมนตรีที่เป็น “ ม้าทรง ” ก็ย่อมต้องฟัง “ องค์ ” มากกว่าเสียงพลเมืองเป็นเรื่องธรรมดา

รัฐธรรมนูญฉบับม้าร่างจะเอื้ออำนาจเฉพาะเจ้าของคอกและม้าด้วยกัน หรือ จ๊อกกี้คนใหม่จะอวยยศคืนให้ม้าตัวใด ก็ไม่ได้สร้างความรำคาญใจเท่ากับการถูกโทรตามจิกให้ไปเป็นสมาชิกฟิตเนส หรือการปิดผับตอนตี 2

เมื่อคณะปฏิรูปหรือปฏิกูลอะไรสักอย่างถือกำเนิดอย่างเป็นทางการในคืนที่ 19 กันยา ซึ่งรัฐประหารครั้งนี้ดูเหมือนว่าคนที่ชื่อ “เปรม” ผู้เสมือนขึ้นหิ้งของแวดวงการเมืองการทหารจะถูกดึงมาพูดถึงมากขึ้นจากเดิม ทั้งฝ่ายรักแม้วและไม่รัก

ก็น่าอยู่หรอก เพราะคืนนั้นประธานองคมนตรีผู้นี้เป็นผู้นำหัวหน้าคณะรัฐประหารเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฯ ซึ่งไม่เคยปรากฏมาก่อนในการรัฐประหาร 10 ครั้งก่อนหน้านี้ในประวัติศาสตร์ ( นับตั้งแต่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 1 เมษายน 2476 เมื่อพระยามโนปกรณ์นิติธาดา ปิดสภาผู้แทนราษฎร ตั้งคณะคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ และประกาศงดใช้รัฐธรรมนูญบางมาตรา )

แม้ผบ.ทบ.ผู้นำการรัฐประหารจะอ้างว่า พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ อยู่ในวังตั้งแต่เย็นแล้ว แต่สายข่าวก็ได้รายงานว่า พล.อ.เปรม ได้กลับเข้าบ้านสี่เสา ฯ แล้วก็ออกมาอีกครั้งหนึ่ง

อีกทั้งผู้ที่นิ่งเฉยจนได้ฉายา " เตมีย์ใบ้ " อย่างพล.อ.เปรม ก็หลุดปากเปรยว่า “ สุรยุทธ์ดีที่สุด ” แถมยังเคยเปรียบกับ มิสเตอร์ วินส์ตัน เชอร์ชิล อดีตนายกรัฐมนตรีของอังกฤษอีกด้วย

ด้วยเหตุนี้ “ ป๋า ” จึงถูกดึงลงมาจากหอคอยงาช้าง เหมือนกับ “ ป้า ” ที่ถูกดึงลงมาจากคานทอง ย่อมเป็นที่สนุกปากของคนทั่วไปโดยเฉพาะฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลทหาร

โดยเฉพาะบนสังเวียนการเมืองที่เต็มไปด้วยฉากหน้าและเบื้องหลังจึงดารดาษไปด้วยเรื่องเล่าข่าวลือที่แพร่สะพัดมากมายพอๆกับสรรพนามและนามสมมุติที่เกลื่อนกลาดตามหนังสือข่าวการเมือง ไม่ว่าจะเป็น " ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ" “ มือที่มองไม่เห็น ” “ ขันทีเฒ่า ” รวมไปถึง “ อีแอบหัวขาว ”

จนข่าวการเมืองราวกับข่าวซุบซิบดารา ประเภท นาย “ป” ชอบหานายทหารสีม่วงมาควงทวาร แถมให้เงินดารานักร้องหนุ่มเปิดผับย่านอาร์ซีเอ แต่เจ๊งไม่เป็นท่า ให้เอาไปขบคิดกันเอาเองว่า คนที่ว่านั้นเป็นใคร

… มิน่าล่ะ ทำไมดาราบางคนถึงลงมาเล่นการเมือง...

ซึ่งสมกับฐานะที่เป็น “ คนของประชาชน ” และสมกับเป็นเรื่องของการเมืองการปกครองที่กอปรไปด้วยกิจกรรมทั้งที่ลับและที่แจ้ง ดังนั้นเรื่องลับๆและแจ้งๆรวมไปถึงเรื่องในมุ้งตู้ตั่งเตียงจึงถือว่าเป็นเรื่องระดับมหภาคด้วยเช่นกัน

ซึ่งเรื่องลับๆหลังม่านลอดมุ้งอย่างเพศวิถี ( Sexuality ) ก็กลายมาเป็นอีกวิถีหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับการเมือง โดยเฉพาะสำหรับการตั้งป้อมโจมตีผู้ที่ขัดผลประโยชน์

การออกมาแฉหรือการสร้างจินตนาการว่าฝ่ายตรงข้ามร่วมเพศกับเพศเดียวกัน ก็ดูเหมือนว่าเป็นอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ดีในการสร้างความชอบธรรมว่าตนดีกว่า พอๆกับรถถังและปืนกลที่อ้างความชอบธรรมให้กับความชอบทำและจินตนาการว่า ถ้าไม่รัฐประหารคืนนั้นก็จะเกิดความรุนแรงและการนองเลือด

แม้ว่าการรัฐประหารจะเป็นความรุนแรงอีกรูปแบบหนึ่ง เพียงแต่ว่า เป็นความรุนแรงที่ “ ราบรื่นดุจแพรไหม ”
จะเป็นอาวุธดีหรือไม่ดีอย่างน้อยก็เป็นภาพสะท้อนที่ดีว่า นักการเมืองและทหารที่ดี จึงต้องมีคุณสมบัติ “ ความเป็นชาย ” หรืออย่างน้อยที่สุด ก็ต้องไม่ร่วมเพศกับผู้ชายด้วยกัน


เพราะโลกทางการเมืองเป็นโลกของเพศสภาพชาย ซึ่งแม้แต่ผู้หญิงเองก็ต้องตอนเพศภาพตนเอง ให้มีความแข็งแกร่ง เด็ดเดี่ยว เฉียบขาดอย่างผู้ชาย “ ควรจะเป็น ” ตามจินตนาการของชุมชนการเมือง

ผู้ที่เกี่ยวข้องกับแวดวงนักการเมืองหรือทหารตำรวจ ( ไม่ว่าต่อหน้าหรือลับหลัง ) ถ้าไม่ ” เก็กชง ” หรือ “ แอ๊บแมน ” หรือไม่มี ” ความเป็นชาย” ตามอุดมคติ ก็จะถูกโจมตีในฐานะบ่อนทำลายเสถียรภาพทางการเมือง ซึ่งแม้แต่ฝ่ายที่ประกาศตนเป็นฝ่ายตรงข้ามกับ “ ป๋า ” เองอย่าง จักรภพ เพ็ญแข กับ มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ ก็คงเข้าใจเรื่องนี้ได้ดี ว่ามันเป็นโลกที่ผู้ช๊ายผู้ชายเพียงไหน

แม้แต่ผู้หญิงที่เข้ามาสู่พื้นที่การเมือง ถ้าพวกหล่อนไม่พ่วงเพศ ” หญิง ” ทิ้งท้ายอาชีพ ก็จะไม่รู้ว่าเป็นเพศหญิงหากพูดคำว่า “ นักการเมือง ” ลอยๆ

เพราะปริมณฑลทางการเมืองคือปริมณฑลของผู้ชาย หรือน้อยที่สุดก็สวมหัวโขนเป็นตัวละครเพศชาย ไม่ว่าตามความเป็นจริงจะมีเพศสภาพอะไรก็ตาม เพราะในฐานะ ” คนของประชาชน ” ที่ประหนึ่งตัวแทนของประชาชน มันต้อง ” แมน ” เพื่อให้ดูสง่าน่าเชื่อถือ เพราะเพศสภาพที่ “ ไม่แมน ” มักถูกโยงกับความไม่มีเหตุผล โลเลไม่มั่นคง มีอารมณ์รุนแรง ชอบด่าทอกระแหนะกระแหน มารยาสาไถ ตลบตะแลง

ราวกับว่าการแฉเบื้องลึกเบื้องหลัง เรื่องซุบซิบ และการล้มโต๊ะการเมืองเป็นเรื่องของการใช้ตรรกะเหตุผล การไม่ใช้ความรุนแรง และเป็นอาวุธของผู้ชาย

และทำเหมือนกับว่า เกย์ไม่ใช่พลเมืองของประเทศ ไม่ได้จ่ายภาษีให้อาหารรัฐ ทั้งๆที่เกย์หลายคู่อยู่กินฉันท์สามีภรรยาแต่ต้องจ่ายภาษีเต็มอัตรา เพราะไม่ใช่คู่สมรส

การดูแคลนและใช้สิทธิเสรีภาพในการร่วมเพศของแต่ละปัจเจกชนในประเทศที่อ้างว่าเป็นเสรีนิยม มาเป็นเครื่องมือโจมตีผู้อื่นต่างหากที่เป็นความตลบตะแลง รุนแรง สกปรกและขี้แพ้ชวนล้มโต๊ะยิ่งกว่ารัฐประหาร 19 กันยาเสียอีก

ไม่น่าแปลกใจเลยที่ไม่ค่อยมีใครสนใจเรื่องการเมืองการปกครอง เพราะเบื้องต้นที่สุดมันได้กีดกันความหลากหลายทางเพศที่เหลืออันมีอยู่ค่อนประเทศ และอนุญาตให้เพศชาย ” บริสุทธิ์ ” ใส่สูท ใส่ชุดซาฟารี ผ้าไหมแข็งๆ ไม่เจาะหู ไม่กัดสีผม เท่านั้นที่จะสามารถดำรงอยู่ได้โดยไม่ถูกติฉินนินทา แม้ว่าจะเคยฆ่าใครมาก่อน หรืออยู่พรรคพวกใครมาก่อน แต่กลับเป็นสิ่งที่ทุกคนยอมรับและยอมลืมกันได้มากกว่า ใครเคยเอาตูดใครหรือเคยถูกใครเอาตูดมาก่อน

... คุณสมบัติของนักการเมือง กลับเป็นเรื่องใครเป็นเกย์หรือไม่เกย์ แทนเรื่องใครโกงหรือไม่โกง ใครมีจริยธรรมความสามารถหรือไม่มี ...

พลเมืองจึงรับรู้ว่านักการเมืองเป็นอะไรมากกว่า พวกเขาพวกหล่อน เคยทำคุณงามความดีอย่างไรหรือทำระยำตำบอนฝากไว้ที่ไหนให้บ้านเมืองบ้าง แม้แต่นักการเมือง ( ที่มักต้องพ่วงท้ายคำว่า )หญิง ( เสมอ ) เรามักรับรู้เรื่องลือว่า หล่อนไปนอนกะใครเป็นเมียน้อยให้ใครมากกว่าหล่อนเรียนจบด้านไหนมา ถนัดเรื่องอะไรบ้าง

ข่าวการเมืองที่ไพร่ยัปปี้จะรับรู้ก็เลยไม่ต่างอะไรไปจากข่าวgozzipดารานักแสดงที่นิยมเสพทุกคืนวัน
จะต่างกันตรงที่ ดารานักแสดงเขามีเสื้อผ้าหน้าผมการพูดจำนรรจา เหมือนชาวบ้านชาวช่องมากกว่า มีอัตลักษณ์ทางเพศมากกว่า เข้าถึงได้ง่ายกว่า และ ” เล่นละคร ” เป็นเวลามากกว่า ซึ่งทั้งนี้ก็เพื่อentertainประชาชน หากแต่ที่เป็นนักการเมือง แม้จะอ้างว่าเป็นคนของประชาชน แต่กลับ “ เล่นละคร ” ตลอดเวลาเพื่อ entertain ตนเองและพวก


วันนี้ฉันหยิบหนังสือพิมพ์ในร้านกาแฟย่านสีลม มานั่งอ่านเล่นฆ่าเวลาระหว่างรอเพื่อนมาพบปะหลังเลิกงาน เห็นตัวหนังสือสีดำขนาดเขื่องแผ่หลาบนหนังสือพิมพ์หน้าหนึ่งว่า

“ เปรมไม่ได้เป็นตุ๊ด ” ….เพราะว่า ทาทา คอนเฟิร์มเองค่ะ...

วันจันทร์ที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2551

ศัลยกรรม


ทุกครั้งที่ฉันไปตามห้างสรรพสินค้า สัปดาห์ละ 2 – 3 ครั้ง มือฉันจะพะลุงพะลังไปด้วยถุง ช๊อปปิ้งสารพัดยี่ห้อ ถ้าเอาปากคาบได้ก็คงคาบไปนานแล้ว แลดูไฮโซ มือเปิด กระเฌอก้นรั้ว กระชังหน้าใหญ่ เงินถุงเงินถังช๊อปอะไรทั้งวี่วัน
ความจริงฉันทำงานต่างหากล่ะย่ะ ตั้งแต่เรียนจบมหาวิทยาลัยแถวหน้าของประเทศโลกที่ 3 ฉันก็มาทำงานเป็นสไตลิสต์ให้กับนิตยสารเล่มหนึ่งและแอบทำฟรีแลนซ์ให้กับรายการทีวี เพื่อแลกกับเงินจำนวนไม่กี่พัน อาชีพนี้ฟังดูโก้เก๋ แต่เหนื่อยเป็นบ้า เกิดเสื้อผ้า สร้อย รองเท้าเสือกเจ๊งขึ้นมา ฉันก็โดนเฉ่งปี๋ไม่มีใครจ่ายให้หรอก แล้วที่เด็ดสุด เกิดมาท้องพ่อท้องแม่ฉันยังไม่เคยใส่ร้องเท้าให้เลย แต่ดารา นางแบบ พวกหล่อนเป็นใครยะ

ชิส์...แต่ฉันก็ทำ…

เหมือนเวรกรรมจะมีจริง เมื่อฉันต้องหาเสื้อผ้าถ่ายแบบให้กับนายแบบหล่อเหลา สูงล่ำ ถ่ายโฆษณาเอ็มวีเพลงฮิตๆ แม้จะไม่ดังมากแต่ก็ดังพอที่ไม่สมควรขึ้นรถเมล์ทั้งๆที่ยังไม่มีรถขับ ผิดกับสมัยตอนเรียนมัธยม ที่ตัวผอมบักโกรก ขี้โรค และขี้แย และมักถูกฉันคอยกลั่นแกล้งไถเงินเป็นประจำตอนสมัยเรียนมัธยมร่วมกัน

ต๊าย...ดูตอนนี้สิ

ฉันเอนท์ติดเรียนจบมหาวิทยาลัยชื่อดังกว่า เรียนเก่งกว่า เสียอย่างเดียวหน้าตาแย่กว่า เลยได้งานที่รายได้น้อยไม่เท่าแก แถมต้องทำงานเหนื่อยกว่าตั้งร้อยเท่าพันทวี

คิดๆแล้วรู้สึกว่ามีเปลวอัคคีในตาร้อนผ่าวลุกโชนขึ้นมาทันที

ฉันต้องทำศัลยกรรมแล้วสิ อย่างน้อยที่สุดก็ทั้งหน้า เฮ้อ..ได้แต่ถอดหายใจ เงินเดือนแค่นี้มันจะไปทำไรได้วะ ก็ใครบ้างล่ะไม่อยากสวย ก็เห็นๆอยู่ว่าสวยแล้วมันทำอะไรได้มากมายกว่าคนไม่ขี้ริ้วขี้เหร่ตั้งหลายอย่าง ต่อของก็ได้ราคาถูกกว่า เวลาไปเที่ยวก็มีคนมาเลี้ยงเหล้าให้ เผลอๆเกิดโมเดลลิ่งมาคว้าตัวไป ได้เป็นดารานางแบบได้หนุ่มไฮโซเป็นแฟน มีเสี่ยมาเลี้ยง พอมีรายได้เป็นกอบเป็นกำก็หากิจการร้านอาหาร ทำสปา ผับบาร์ก็ว่าไป ไม่ต้องเรียนหามรุ่งหามค่ำ เพื่อให้ติดมหาวิทยาลัยดีๆ ได้เกียรตินิยม ปริญญาหลายใบเพื่อสร้างคุณค่าให้กับตนเอง

แถมโอกาสก็มากกว่า คนไหนหล่อๆหน่อย ไปทำระยำตำบอน ก็ดู bad boy ดี เท่ห์เป็นบ้า ต่อให้โง่ดักดานแค่ไหน ถ้าหน้าสวย ก็ดูแอ๊บแบ๊ว ไร้เดียงสาหน้าหยิกหยอก

ฉันไม่ได้เกิดจากพ่อพันธุ์แม่พันธุ์หน้าตาดีที่มีโครโมโซมหล่อๆยีนสวยๆ สักหน่อย ในเมื่อเลือกเกิดไม่ได้ แต่ฉันก็เลือกสวยได้ ด้วยศัลยกรรม

ถ้าฉันสวยฉันจะมีความสุขมากกว่าเดิม การทำศัลยกรรมจึงเป็นแสวงหาและกำหนดความสุขด้วยตัวเอง
ไม่ต้องมารอให้ใครกำหนดให้ แค่ตอบสนองความปรารถนาตนเอง จะเรียกๆให้เก๋ๆก็คือฉันมี
self-determination

การไปทำศัลยกรรม ชะลอความแก่ ลดความความอ้วน จึงไม่ใช่ความไม่รู้จักพอดีหรือไม่ “ พอเพียง ” ซึ่งมันไม่ได้เข้ากับบริบทชนชั้นกลาง และเป็นการสร้างเสถียรภาพให้ชนชั้นสูงมากกว่า

เดี๋ยวนี้คนไปทำศัลยกรรมกันมากขึ้นเพราะคนสมัยนี้คนสามารถค้นหาความปรารถนาของตนเอง ฉันค้นหาความสุขด้วยตนเอง

ต่างจากคนสมัยก่อนที่กำหนดความสุขเองไม่เป็น คอยแต่พร่ำบ่นสวดมนต์เพื่อให้ผีฟ้าเทวดาประทานความสุขความต้องการ เพราะเชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างพระเจ้ากำหนด ไม่ก็กรรมแต่ชาติปางก่อนลิขิต ชาติที่แล้วไม่ทำบุญด้วยดอกไม้ ชาตินี้เลยไม่สวย เป็นเพราะเทพเจ้าเธอปั้นจากดินเหนียวแบบชุ่ยๆเธอเลยไม่สวยหน้าตาพิกลพิการ

ความสุขในสมัยโบราณ คือสิ่งที่พระเจ้าประทานให้หรือกรรมบันดาล เราจะสร้างขึ้นมาเองไม่ได้ ความสุขสมัยก่อนจึงเป็นเรื่องไกลตัว ยิ่งสังคมจารีตที่ผูกพันกับศาสนายิ่งแทบหาความสุขไม่ได้ เพราะเกิดมาก็เป็นทุกขังแล้ว ไม่ก็เกิดมาก็มาบาปติดตัวเพราะทวด” อดัม ” กับทวด “ เอวา ”ดันไปขัดคำสั่งพระเจ้า ลูกหลานเลยมี original sin ติดมากับดีเอ็นเอ

หากแต่การสนองตามความต้องการและเสวงหาความสุขจึงเป็นเรื่องที่เราสามารถสรรหาได้เองในสมัยใหม่ แม้แต่คำถามที่ว่า “ โตขึ้นหนูอยากเป็นอะไร ” ก็เพิ่งเกิดขึ้นไม่กี่ 10 ปีมานี่เอง

คนสมัยก่อนไม่ได้ไปทำศัลยกรรม ไม่ใช่เพราะมันไม่มีที่ให้ทำอย่างเดียว แต่เป็นการกระทำนอกเหนือจากลิขิตของพระผู้เป็นเจ้าหรือกรรม

หลังจากที่ไตร่ตรองมาเนิ่นนาน ผ่านกระบวนการระดมสมองความคิดเห็นจากคนรู้จัก สัมภาษณ์เชิงเจาะลึกกับผู้เคยผ่านการทำศัลยกรรม ฉันจับแท็กซี่ไปโรงพยาบาลด้วยความมุ่งมั่นที่ข่มความหวาดกลัวในใจ

ฉันบรรจงบอกกับหมออย่างละเอียดว่า ช่วยยกหางตาที่มันตกๆขึ้น แล้วก็เอาถุงใต้ตาใหญ่ๆออกให้หน่อย แล้วทำจมูกให้โด่งเป็นสัน อ้อ...เก็บปีกจมูกด้วยเพราะจมูกหนูบาน แล้วก็ช่วยฉีดปากให้เจ่อๆหน่อยนะ เซ็กซี่ดี คางน่ะเหลาให้ด้วยนะ แล้วก็บลาๆ... ฉันสั่งศัลยแพทย์เหมือนสั่งอาหารร้านหน้าปากซอย

หมอเพ่งมาที่หน้าฉันเหมือนไม่รู้ว่าจะเริ่มทำส่วนไหนก่อนดี ก่อนที่จะขยับแว่นและยิ้มมุมปากก่อนพูดว่า
“ ผมว่าอย่างคุณคงต้องเริ่มที่คอ ด้วยการตัดทิ้งไปเลยดีที่สุด ”

วันอาทิตย์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2551

ชัยชนะของผู้หญิง


เดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ฉันไปอยู่สกลนครสักพักใหญ่ๆหลังจากไปไหว้ศพ จิตร ภูมิศักดิ์ ในวันที่ 5 พฤษภา วันที่นักปราชญ์นักปฏิวัติผู้นี้โดนยิงตายอย่างอำมหิต และเป็นช่วงที่ฉันต้องการหนีความเจ็บปวดของชีวิตรักไปเลียแผลใจที่ไกลๆจากโลกที่ฉันเคยอยู่


“ ผู้ชายมันก็เลวแบบนี้ทุกคน ” ฉันตะโกนในใจ “ คิดว่าตัวเองเจ๋งกว่ารึไง อะไรๆก็ตัวเองตัดสินใจดีกว่า เป็นผู้นำกว่า... พอกันที ”


ฉันกะจะบวชชีที่สกลแม่งเลย ไหนๆทางโลกย์มันก็ไปไม่รอดละ เอาทางธรรมเผื่อมันจะรอดบ้าง แต่คิดไปคิดมา การบวชชีเพราะหนีรักนี่มันเหมือนหนีเสือปะจระเข้มากกว่า ฉันถูกผู้ชายกดขี่มาตลอดชีวิตรัก พอเลิกกันแทนที่จะเป็นอิสระ ดันหนีไปบวชชี ไปรับใช้พระสงฆ์อีก ยิ่งประเทศนี้กีดกันการบวชภิกษุณีด้วย ฉันเป็นชายขอบสังคมโลกียะมาทั้งชีวิตแล้ว จะหนีไปเป็นชายขอบสังคมโลกุตระอีกทำไมให้แย่กว่าเดิม ว่าแล้วฉันไปวัดทำบุญให้พระดีกว่า ทำบุญให้พวกผู้ชายบ้างก็ดี ไอ้เพศนี้จะได้ไม่ต้องมาจองเวรกับฉันอีก


ฉันจึงได้ไปวัดแถวนั้น ชื่อวัดพระธาตุนารายณ์เจงเวง ที่น่าจะเป็น landmark ของที่นี่คือ ปราสาทหินที่เด่นตระหง่านกลางวัดพุทธ ดูจากงานแกะสลักไม่บอกก็รู้ว่าเป็นศาสนาฮินดูหากแต่เข้ารีตเป็นพุทธเรียบร้อยโรงเรียนสงฆ์ไปเสียแล้ว

พระที่นั่นเล่าให้ฟังว่า ปราสาทนี้มีชื่อว่า “ อรดีมายานารายณ์เจงเวง ” เพราะถูกสร้างขึ้นโดยผู้หญิง และเสร็จลุล่วงด้วยมารยาของพวกผู้หญิง

เรื่องราวคล้ายๆกับปราสาทพนมวันที่โคราชอยู่เหมือนกันว่า เมื่อตอนที่พระพุทธเจ้าปรินิพานใหม่ๆ พระมหากัสสปะพร้อมพระสงฆ์ 500 รูป ได้ออกเดินทางเพื่อนำกระดูกส่วนหน้าอกไปประดิษฐานที่ดอยภูกำพร้ากลางลำน้ำโขง ซึ่งต้องผ่านเมืองหนองหาน หรือ จังหวัดสกลนครในปัจจุบัน ชาวเมืองหนองหานคิดจะขอแบ่งชิ้นส่วนกระดูกมาประดิษฐานที่เมืองตนเองบ้าง เรื่องของสถานที่บรรจุกระดูกกลับเป็นเรื่องที่คิดไม่ตกว่าจะสร้างอุโมงค์ค์ที่ไหนเพื่อรองรับกระดูก เพราะความเห็นแบ่งออกเป็น 2 ฝ่าย ฝ่ายชาย กับ ฝ่ายหญิง

พระยาสุวรรณภิงคาร เจ้าเมือง เป็นผู้นำฝ่ายชายที่อยากสร้างอุโมงค์ที่ดอยคูหา ซึ่งเป็นแท่นบัลลังค์ที่พระพุทธเจ้าเคยบรรทมครั้งเมื่อเสด็จมาหนองหาน

ฝ่ายหญิงนำด้วย พระนางนารายณ์เจงเวง มเหสีพระยาสุวรรณภิงคาร ที่ต้องการสร้างอุโมงค์ไว้ที่สวนอุทยานเจงเวง ทั้ง2ฝ่ายจึงท้าทายแข่งกันก่ออุโมงค์คอยขบวนพระสงฆ์ผ่านเพื่อขอแบ่งกระดูก โดยกำหนด 1 วัน 1 คืน ตั้งแต่เช้ามืดจนถึงดาวเพ็ก ( ดาวประกายพรึก )ขึ้นของวันถัดมา

กล่าวกันว่า บรรดาหนุ่มๆต่างมาช่วยผู้หญิงสร้างเพราะอยากใกล้ชิดผู้หญิง อีกทั้งพระนางได้ส่งผู้หญิงจำนวนหนึ่งไปยั่วยวนผู้ชายให้หยุดก่อสร้างมาชื่นชมนาง

หลังจากนั้นพระนางสั่งให้บ่าวเอาโคมไฟผูกกับเสาสูงเพื่อให้เกิดแสงสว่างโดยทั่ว ฝ่ายผู้ชายเห็นแสงไฟนึกว่าดาวประกายพรึกออกแล้วจึงหยุดก่อสร้างที่ก่อได้เพียงขื่อ แต่บ้างก็ว่าเป็นเพราะความจงใจของพระนางที่ต้องการหลอกพวกผู้ชายว่าใกล้ถึงรุ่งเช้าแล้ว สรุปว่าผู้หญิงสร้างเสร็จสมบูรณ์ตามเวลาที่กำหนดขณะที่ผู้ชายทำไม่ได้ เมื่อขบวนสงฆ์ผ่านเมืองหนองหาน ชาวเมืองจึงได้ขอแบ่งกระดูก แต่พระมหากัสสปะไม่อนุญาตเพราะว่า พระพุทธเจ้าประสงค์ให้นำไปไว้ที่ดอยภูกำพร้า จึงให้พระอรหันต์กลับไปที่เอาถ่านไฟกับพระอังคารมา 3 ทะนาน

พระยังบอกอีกว่า ที่ชื่อนารายณ์ เพราะ ชายหญิงต่างมีมือ 2 ข้างเท่ากันทำอะไรย่อมสู้กันได้ มีแต่พระนารายณ์ที่มีมือมากกว่า2ข้าง ที่มีพละกำลังมากกว่า …ต๊าย ! เข้าใจคิด

ฉันเดินไปดูรอบๆ เห็นทับหลังมีรูปผู้หญิงดูสูงศักดิ์สลักอยู่ในซุ้มด้วย แต่ก็บอกไม่ได้ว่า พระนางนารายณ์เจงเวงหรือเปล่า คนที่ไม่รู้ประวัติศาสตร์ศิลป์รวมไปถึงรากเหง้าตนเองอย่างฉันจะไปบอกอะไรได้ว่าคือรูปใคร

แต่ดูๆไปแล้วคนสร้างคงไม่จงใจไว้เก็บอะไรเกี่ยวกับพุทธศาสนาเท่าไรหรอก เพราะน่าจะเป็นศาสนสถานทางฮินดู เพียงถูกจับบวชห่มผ้าเหลืองเสียให้เข้ากับบริบทรอบข้างมากกว่า

นารายณ์เจงเวง น่าจะแปลว่า พระนารายณ์ขายาวในภาษาเขมร เพราะ “เจง” แปลว่ายาว “เวง” เปลว่า ตีนหรือขา ปราสาทนี้จึงน่าจะถูกสร้างเพื่อระลึกถึงปกรณัมตอนหนึ่งที่พระนารายณ์อวตารมาก้าวย่าง 3 ก้าว เหยียบไปถึง 3 โลก คือ โลกบาดาล โลกมนุษย์ โลกสวรรค์ เพื่อปราบอสูรเมื่อ

เมื่อพุทธศาสนาเข้ามา เทวสถานจึงถูกดัดแปลงให้เป็นพุทธสถานด้วย “ เรื่องเล่า ” ซึ่งเห็นได้ทั่วไปตามโบราณสถาน

เหมือนที่คั้งหนึ่งศาสนาฮินดูเข้ามาในพื้นที่นี้แล้วก็ทำให้ศาสนาดั้งเดิมที่ผู้หญิงเป็นเจ้า ถูกปลุกปล้ำทำเมียกลายเป็นมเหสีรับใช้เทวดาฮินดู อย่างเรื่องเล่าที่นางนาค “ โสมา ” กายนางเปลือยเปล่ามีแต่ทางมะพร้าวห่มร่าง เป็นเจ้าปกครองอุษาคเนย์ เมื่อรบแพ้พราหมณ์โกณฑิยยะจากชมพูทวีป นางจึงตกเป็นเมียพราหมณ์และได้รับเสื้อผ้าจากสามี
นึกถึงแล้วก็เหมือนพระธาตุนารายณ์เจงเวงที่เขาเอาจีวรมาพันรอบปราสาทไม่มีผิด

แต่อย่างน้อยในนิทานเรื่องนี้ ผู้หญิงก็ชนะผู้ชายอยู่บ้าง แม้จะเป็นชัยชนะเพื่อศาสนาผู้ชาย ( ศาสนาพุทธ ) ก็ตาม ซึ่งชนะได้เพราะมีเสน่ห์ จริตมารยาและปัญญาเป็นศาตรา ก็ในเมื่อผู้ชายเชื่อว่ามีร่างกายใหญ่โต พละกำลัง ความแข็งแกร่งมากมาย สามารถประกาศอำนาจความเป็นชายด้วยความรุนแรง ความหยาบกักขฬะความดิบเถื่อนอันเป็นอาวุธประจำเพศ ผู้หญิงจึงใช้ร่างกายตนเองในการประกาศอำนาจบ้างจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะไม่รู้จะเอาอะไรไปต่อกรกับผู้ชายอกสามศอกนอกจากคุณสมบัติที่ถูกยัดเยียดให้มี

เรื่องนี้พระพยายามสอนให้ฉันรู้ว่าสตรีมีมารยาสาไถเป็นภัยต่อบุรุษ แต่ไม่ยักสะท้อนให้เห็นถึงความฉลาดน้อยของบุรุษที่ยังจะไม่รู้จักมีมารยาสาไถ ก็เป็นภัยให้ตัวเองเช่นกัน

คุณูปการของโต๊ะอาหาร

ท่ามกลางเสียงอื้ออึงดังระงมของอึ่งอ่างในสวนหน้าบ้านยามค่ำคืนหลังสายฝน ลมเย็นชื้นโชยผ่านยังปลายเท้าฉันอย่างแผ่วเบา ขณะที่กำลังก้มๆเงยๆนั่งเขียนบทความอยู่ตามลำพัง ใต้โคมไฟที่ยังคงไสวเพียงดวงเดียวกลางดึก ช่วยให้รอบกายแลดูมืดขึ้นมาถนัด แสงสีนวลตาสาดตรงมายังกลางโต๊ะไม้วงรีขนาดใหญ่ที่พะเนินไปด้วยหนังสือ พจนานุกรม กระจัดกระจายด้วยเอกสาร ยางลบ ดินสอ กระดาษ ไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา ก่อนที่ทุกคนจะหลับใหลกันหมด มันเป็นโต๊ะที่อวลฟุ้งด้วยกลิ่นของน้ำพริก กรุ่นไออุ่นข้าวเพิ่งสุกใหม่ ละลานตาด้วยกับแกงหลากสีหลายรส และอึงมี่นี่นันด้วยเสียงของพ่อแม่ลูก ประชันเสียงฝนที่โยนตัวปะทะพื้นคอนกรีต


ทุกๆมื้อเย็น พ่อแม่และพี่ชายฉันจะมารวมตัวกันยังโต๊ะอาหารอย่างพร้อมเพรียง ทุกคนต่างหอบเรื่องราวนอกบ้านที่ผ่านมาทั้งวันมาเล่าสู่กันฟัง แลกเปลี่ยน นินทา บางทีก็หยิบมาเป็นประเด็นทะเลาะถกเถียงกัน บางครั้งคราวที่จะไม่ค่อยได้พูดคุยกันระหว่างมื้อเพราะยกสำรับมากินหน้าโทรทัศน์กัน แต่โต๊ะอาหารก็ไม่เคยว่างเว้นจากกลิ่นข้าวสวย คราบกรังของน้ำพริกน้ำแกง รอยน้ำเป็นวงกลมจากก้นแก้ว และเสียงพูดคุย ฉันจึงได้ทำความรู้จัก นิสัยใจคอเพื่อนแม่ ลูกน้องพ่อ เจ้านายพี่ ใครต่อใครมากมาย ไปจนถึงสภาพสังคม การเมือง จราจร สถานที่ต่างๆ และเรียนรู้หลักการวางตัวเพื่อไม่ให้เป็นขี้ปากให้นินทาบนโต๊ะอาหารของคนอื่น


โต๊ะอาหารของฉันจึงเป็นโรงเรียนเล็กๆที่สอนวิชา สร้างเสริมประสบการณ์ชีวิตและสร้างเสริมลักษณะนิสัย


สำหรับเรื่องกินแล้ว ครอบครัวฉันถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ ฉันว่าครอบครัวคนอื่นก็คงเหมือนกัน เพราะถึงวันอาทิตย์ วันหยุดราชการทีไร ตามห้างสรรพสินค้าเนืองแน่นไปด้วยพ่อแม่จูงลูกอุ้มหลานยืนต่อคิวหน้าร้านอาหาร ที่บ้านฉันก็เช่นกันยิ่งพอเป็นวันเกิดใคร ครบรอบอะไร หรือฉลองเนื่องในโอกาสใด ก็มักป้วนเปี้ยนอยู่แต่เรื่องกินดื่มทั้งนั้น ไม่ยกโขยงไปกินข้าวนอกบ้านก็ซื้ออะไรอร่อยๆที่ไม่ได้กินกันบ่อยเข้ามากินในบ้าน แต่ไม่เคยฉลองอะไรด้วยการไดหญ้า ขัดส้วม ล้างรถ ตีปิงปอง หรือ ร่วมฟังเสวนาวอชาการตามมหาวิทยาลัย แต่เรื่องกินกลับเป็นเรื่องอันดับต้นๆของสมาชิกในครอบครัวที่นึกถึง เวลาต้องการสร้างความทรงจำร่วมกัน หรือ เพื่อบอกถึงระบบความสัมพันธ์ที่ดำรงอยู่


เวลากลับบ้านต่างจังหวัดญาติฉันก็จะมานั่งกินข้าวล้อมสำรับอาหารที่ปูบนกระดาษหนังสือพิมพ์กันเป็นวงกลม ต่างคนถือจานข้าวของตัวเอง จึงไม่มีใครอยู่หัวหรือท้าย ทั้งหัวหงอกหัวดำหัวโล้น ไปจนถึงหัวแกละหัวจุกนั่งรวมกันไปหมด


...การกินจึงกลายเป็นกลไกสร้างเสถียรภาพให้กับสถาบันครอบครัวโดยบัดดล...


ฉันท่องจำมาตลอดตั้งแต่ชั้นประถมแล้วว่าคำว่าครอบครัว ในภาษาอังกฤษคือ family คำๆนี้เริ่มใช้ในช่วงจักรวรรดิโรมัน ซึ่งเป็นคำเดียวกับคำที่มาจากคำละตินที่แปลว่า ทาสจำนวนมากมายที่อยู่ใต้การดูแลของผู้ชายเพียงคนเดียว Familia ซึ่งเป็นคำเรียกกลุ่มสังคมแบบใหม่ในสมัยโรมันที่ ผู้ชายเป็นจ่าฝูง แล้วมีเมียและลูกรวมไปถึงทาส อยู่ใต้การบังคับบัญชา


สถาบันครอบครัวเป็นรูปแบบความสัมพันธ์ที่มีพ่อแม่ลูก ซึ่งเกิดขึ้นมาในสมัยโรมันที่ผู้ชายมีอำนาจมากกว่าผู้หญิงหลังจากที่ผู้ชายรู้ว่าการที่เอาจู๋ไปจิ้มจิ๋มนั้นก่อให้เกิดสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์ ผู้ชายจึงเข้าครอบครองผู้หญิงให้เป็นสมบัติของตนเชียวเดียวกับเด็กที่เกิดออกมา เพราะถือว่าเป็นปัจจัยการผลิตที่สำคัญในการดำรงชีพ


บรื๋ออส์!!! สถาบันfamily น่ากลัวจริงๆ


แม้จะมีบางคนหัวใสพยายามสร้างความหมายใหม่ให้กับ family โดยบอกว่าเป็นอักษรย่อจาก ประโยค Father And Mother, I Love You. อุแม้เจ้า ! ฟังดูแล้วอบอุ่น กรุ่นไอรัก พร้อมหน้าพร้อมตา ชวนให้อยากมีครอบครัวตามไปด้วย แต่มันก็เป็นเพียงค่านิยมของสังคมเมือง มีนัยยะครอบครัวเดียว และปราศจากการนิยาม ตัวตนของเด็กกำพร้าพ่อ พ่อหม้ายลูกติด คุณแม่ยังโสด คู่ผัวตัวเมียที่ใครสักคนเป็นหมัน รวมไปจนถึงคู่รักเพศเดียวกัน ฉันเดาว่าคนคิดคงได้รับอิทธิพลหลังการเกิด องค์กร NATO OPEC AFTA UN มาแล้ว จนสถาบัน family มีที่มาคล้ายๆ OTOP พิกล


แต่สำหรับภาษาไทยแล้ว คำว่าครอบครัว ดูเหมือนว่าจะพิสมัยแต่เรื่องอาหารการกินเป็นพิเศษ แม้แต่คำว่า “ครอบครัว” “ครัวเรือน” ก็วนเวียนไปมาในห้องครัว การประกอบอาหาร


ทุกมื้อเย็นที่เราประจำที่โต๊ะกับข้าว ภาพที่ฉันเห็นจนชินตาคือพ่อจะเป็นผู้นั่งเก้าอี้หัวโต๊ะเสมอ ส่วนเก้าอี้ที่เหลือแม่ พี่และฉันเลือกนั่งกันเองแล้วแต่สะดวก คล้ายกับเป็นวัฒนธรรมย่อยๆในครอบครัวที่ยึดถือกันมาตั้งแต่ฉันจำความได้ มีอยู่วันหนึ่ง สมัยเรียนประถม 3 – 4 เห็นจะได้ ฉันลองไปนั่งที่หัวโต๊ะดูบ้าง อยากรู้จังว่าถ้ามองจากมุมนั้นอาหารมันจะน่ากินสักแค่ไหน แต่ไม่ทันได้กินอะไร ก็โดนแม่ไล่ให้ไปนั่งเก้าอี้อื่นเสียก่อน ด้วยเหตุผลที่ว่าพ่อเป็นหัวหน้าครอบครัว เป็นเสาหลักหาเลี้ยงสมาชิกในครอบครัวมีกินมีดื่มได้ทุกวันนี้ ควรนั่งหัวโต๊ะ หลังจากนั้นทุกครั้งที่ทานข้าวร่วมกัน ฉันจึงไม่คิดที่จะนั่งหัวโต๊ะอาหารอีกเลย ปล่อยให้เก้าอี้หัวโต๊ะกับข้าวนั้นเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ประจำตำแหน่งผู้นำครอบครัวไป


มิน่าล่ะ การกินจึงมีความสำคัญต่อสถาบันครอบครัว เพราะมันจะค่อยๆสร้างสำนึกของสมาชิกในสังคมละนิดทีละมื้อ ให้สำเหนียกฐานะของตนบนสังคมชนชั้นและระบบอาวุโสนิยมอันเป็นโครงสร้างของสังคม


ตามบันทึกของชาวฝรั่งเศสที่เข้ามาในสมัยแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราชได้กล่าวถึงวัฒนธรรมการกินของชาวสยามไว้ว่า โดยปรกติหัวหน้าครอบครัวคนที่เป็นพ่อหรือผัวจะกินก่อนเพียงลำพัง พออิ่มแล้วเมียจะเข้ามานั่งกิน หลังจากกินเสร็จพวกลูกๆ10-15 คน จะตามมากินทีหลัง หลังจากนั้นบ่าวไพร่จะเก็บส่วนที่เหลือไปกิน ซึ่งน่าจะเป็นสังคมของผู้ดีมีฐานะมีลูกมากและทาสรับใช้ไว้ปกครอง


แต่สภาพสังคมที่เปลี่ยนไปเช่นเดียวกับวัฒนธรรมการเป็นอยู่ ยิ่งในสังคมเมืองที่ต้องเร่งรีบ ใช้ชีวิตภายใต้อิทธิพลวัฒนธรรมตะวันตก ลำดับก่อนหลังในการกินที่เรียงตามอาวุโสจึงเป็นวัฒนธรรมที่ไม่เข้ากับบริบทสังคมเมือง


เมื่ออิทธิพลสมัยใหม่นิยมจากตะวันตกเข้ามา สังคมเมืองเริ่มเป็นครอบครัวเดียวกันมากขึ้น มีระบบกฎหมายเป็นผัวเดียวเมียเดียว ยิ่งไม่ได้มีพื้นฐานการผลิตแบบเกษตรกรรม ลูกหลานก็ไม่มากอย่างในอดีต การรู้จักมักคุ้นกับญาติผู้ใหญ่น้อยลง พบปะกันน้อยครั้ง สำหรับครอบครัวฉันปีละครั้งเห็นจะได้ หากมากกว่านั้นก็ จะเจอในงานศพ หรือ งานแต่ง มากกว่า


ความเข้มข้นของระบบอาวุโสนิยมและอำนาจของหัวหน้าครอบครัว จึงเข้มข้นไม่เท่ากับสังคมชนบท เพราะวัฒนธรรมตะวันตกเข้ามาแทนที่


แต่ฉันเห็นว่าไม่น่ากังวลอะไร เพราะตะวันตกก็ยังมีโต๊ะอาหารและวัฒนธรรมการนั่งหัวโต๊ะ ที่เป็นเครื่องมือรักษาความมั่นคงให้กับระบบความสัมพันธ์เชิงอำนาจของหน่วยเล็กของสังคมโดยเฉพาะสังคมเมือง ให้สมาชิกในสังคมยอมรับถึงความแตกต่างของคุณค่าความเป็นคน เพื่อเตรียมพร้อมที่จะขับเคลื่อน ความไม่เท่าเทียมกันของมนุษย์ การใช้อำนาจ บนสังคมกระฎุมพีสืบไป