วันอาทิตย์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2551

ชัยชนะของผู้หญิง


เดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ฉันไปอยู่สกลนครสักพักใหญ่ๆหลังจากไปไหว้ศพ จิตร ภูมิศักดิ์ ในวันที่ 5 พฤษภา วันที่นักปราชญ์นักปฏิวัติผู้นี้โดนยิงตายอย่างอำมหิต และเป็นช่วงที่ฉันต้องการหนีความเจ็บปวดของชีวิตรักไปเลียแผลใจที่ไกลๆจากโลกที่ฉันเคยอยู่


“ ผู้ชายมันก็เลวแบบนี้ทุกคน ” ฉันตะโกนในใจ “ คิดว่าตัวเองเจ๋งกว่ารึไง อะไรๆก็ตัวเองตัดสินใจดีกว่า เป็นผู้นำกว่า... พอกันที ”


ฉันกะจะบวชชีที่สกลแม่งเลย ไหนๆทางโลกย์มันก็ไปไม่รอดละ เอาทางธรรมเผื่อมันจะรอดบ้าง แต่คิดไปคิดมา การบวชชีเพราะหนีรักนี่มันเหมือนหนีเสือปะจระเข้มากกว่า ฉันถูกผู้ชายกดขี่มาตลอดชีวิตรัก พอเลิกกันแทนที่จะเป็นอิสระ ดันหนีไปบวชชี ไปรับใช้พระสงฆ์อีก ยิ่งประเทศนี้กีดกันการบวชภิกษุณีด้วย ฉันเป็นชายขอบสังคมโลกียะมาทั้งชีวิตแล้ว จะหนีไปเป็นชายขอบสังคมโลกุตระอีกทำไมให้แย่กว่าเดิม ว่าแล้วฉันไปวัดทำบุญให้พระดีกว่า ทำบุญให้พวกผู้ชายบ้างก็ดี ไอ้เพศนี้จะได้ไม่ต้องมาจองเวรกับฉันอีก


ฉันจึงได้ไปวัดแถวนั้น ชื่อวัดพระธาตุนารายณ์เจงเวง ที่น่าจะเป็น landmark ของที่นี่คือ ปราสาทหินที่เด่นตระหง่านกลางวัดพุทธ ดูจากงานแกะสลักไม่บอกก็รู้ว่าเป็นศาสนาฮินดูหากแต่เข้ารีตเป็นพุทธเรียบร้อยโรงเรียนสงฆ์ไปเสียแล้ว

พระที่นั่นเล่าให้ฟังว่า ปราสาทนี้มีชื่อว่า “ อรดีมายานารายณ์เจงเวง ” เพราะถูกสร้างขึ้นโดยผู้หญิง และเสร็จลุล่วงด้วยมารยาของพวกผู้หญิง

เรื่องราวคล้ายๆกับปราสาทพนมวันที่โคราชอยู่เหมือนกันว่า เมื่อตอนที่พระพุทธเจ้าปรินิพานใหม่ๆ พระมหากัสสปะพร้อมพระสงฆ์ 500 รูป ได้ออกเดินทางเพื่อนำกระดูกส่วนหน้าอกไปประดิษฐานที่ดอยภูกำพร้ากลางลำน้ำโขง ซึ่งต้องผ่านเมืองหนองหาน หรือ จังหวัดสกลนครในปัจจุบัน ชาวเมืองหนองหานคิดจะขอแบ่งชิ้นส่วนกระดูกมาประดิษฐานที่เมืองตนเองบ้าง เรื่องของสถานที่บรรจุกระดูกกลับเป็นเรื่องที่คิดไม่ตกว่าจะสร้างอุโมงค์ค์ที่ไหนเพื่อรองรับกระดูก เพราะความเห็นแบ่งออกเป็น 2 ฝ่าย ฝ่ายชาย กับ ฝ่ายหญิง

พระยาสุวรรณภิงคาร เจ้าเมือง เป็นผู้นำฝ่ายชายที่อยากสร้างอุโมงค์ที่ดอยคูหา ซึ่งเป็นแท่นบัลลังค์ที่พระพุทธเจ้าเคยบรรทมครั้งเมื่อเสด็จมาหนองหาน

ฝ่ายหญิงนำด้วย พระนางนารายณ์เจงเวง มเหสีพระยาสุวรรณภิงคาร ที่ต้องการสร้างอุโมงค์ไว้ที่สวนอุทยานเจงเวง ทั้ง2ฝ่ายจึงท้าทายแข่งกันก่ออุโมงค์คอยขบวนพระสงฆ์ผ่านเพื่อขอแบ่งกระดูก โดยกำหนด 1 วัน 1 คืน ตั้งแต่เช้ามืดจนถึงดาวเพ็ก ( ดาวประกายพรึก )ขึ้นของวันถัดมา

กล่าวกันว่า บรรดาหนุ่มๆต่างมาช่วยผู้หญิงสร้างเพราะอยากใกล้ชิดผู้หญิง อีกทั้งพระนางได้ส่งผู้หญิงจำนวนหนึ่งไปยั่วยวนผู้ชายให้หยุดก่อสร้างมาชื่นชมนาง

หลังจากนั้นพระนางสั่งให้บ่าวเอาโคมไฟผูกกับเสาสูงเพื่อให้เกิดแสงสว่างโดยทั่ว ฝ่ายผู้ชายเห็นแสงไฟนึกว่าดาวประกายพรึกออกแล้วจึงหยุดก่อสร้างที่ก่อได้เพียงขื่อ แต่บ้างก็ว่าเป็นเพราะความจงใจของพระนางที่ต้องการหลอกพวกผู้ชายว่าใกล้ถึงรุ่งเช้าแล้ว สรุปว่าผู้หญิงสร้างเสร็จสมบูรณ์ตามเวลาที่กำหนดขณะที่ผู้ชายทำไม่ได้ เมื่อขบวนสงฆ์ผ่านเมืองหนองหาน ชาวเมืองจึงได้ขอแบ่งกระดูก แต่พระมหากัสสปะไม่อนุญาตเพราะว่า พระพุทธเจ้าประสงค์ให้นำไปไว้ที่ดอยภูกำพร้า จึงให้พระอรหันต์กลับไปที่เอาถ่านไฟกับพระอังคารมา 3 ทะนาน

พระยังบอกอีกว่า ที่ชื่อนารายณ์ เพราะ ชายหญิงต่างมีมือ 2 ข้างเท่ากันทำอะไรย่อมสู้กันได้ มีแต่พระนารายณ์ที่มีมือมากกว่า2ข้าง ที่มีพละกำลังมากกว่า …ต๊าย ! เข้าใจคิด

ฉันเดินไปดูรอบๆ เห็นทับหลังมีรูปผู้หญิงดูสูงศักดิ์สลักอยู่ในซุ้มด้วย แต่ก็บอกไม่ได้ว่า พระนางนารายณ์เจงเวงหรือเปล่า คนที่ไม่รู้ประวัติศาสตร์ศิลป์รวมไปถึงรากเหง้าตนเองอย่างฉันจะไปบอกอะไรได้ว่าคือรูปใคร

แต่ดูๆไปแล้วคนสร้างคงไม่จงใจไว้เก็บอะไรเกี่ยวกับพุทธศาสนาเท่าไรหรอก เพราะน่าจะเป็นศาสนสถานทางฮินดู เพียงถูกจับบวชห่มผ้าเหลืองเสียให้เข้ากับบริบทรอบข้างมากกว่า

นารายณ์เจงเวง น่าจะแปลว่า พระนารายณ์ขายาวในภาษาเขมร เพราะ “เจง” แปลว่ายาว “เวง” เปลว่า ตีนหรือขา ปราสาทนี้จึงน่าจะถูกสร้างเพื่อระลึกถึงปกรณัมตอนหนึ่งที่พระนารายณ์อวตารมาก้าวย่าง 3 ก้าว เหยียบไปถึง 3 โลก คือ โลกบาดาล โลกมนุษย์ โลกสวรรค์ เพื่อปราบอสูรเมื่อ

เมื่อพุทธศาสนาเข้ามา เทวสถานจึงถูกดัดแปลงให้เป็นพุทธสถานด้วย “ เรื่องเล่า ” ซึ่งเห็นได้ทั่วไปตามโบราณสถาน

เหมือนที่คั้งหนึ่งศาสนาฮินดูเข้ามาในพื้นที่นี้แล้วก็ทำให้ศาสนาดั้งเดิมที่ผู้หญิงเป็นเจ้า ถูกปลุกปล้ำทำเมียกลายเป็นมเหสีรับใช้เทวดาฮินดู อย่างเรื่องเล่าที่นางนาค “ โสมา ” กายนางเปลือยเปล่ามีแต่ทางมะพร้าวห่มร่าง เป็นเจ้าปกครองอุษาคเนย์ เมื่อรบแพ้พราหมณ์โกณฑิยยะจากชมพูทวีป นางจึงตกเป็นเมียพราหมณ์และได้รับเสื้อผ้าจากสามี
นึกถึงแล้วก็เหมือนพระธาตุนารายณ์เจงเวงที่เขาเอาจีวรมาพันรอบปราสาทไม่มีผิด

แต่อย่างน้อยในนิทานเรื่องนี้ ผู้หญิงก็ชนะผู้ชายอยู่บ้าง แม้จะเป็นชัยชนะเพื่อศาสนาผู้ชาย ( ศาสนาพุทธ ) ก็ตาม ซึ่งชนะได้เพราะมีเสน่ห์ จริตมารยาและปัญญาเป็นศาตรา ก็ในเมื่อผู้ชายเชื่อว่ามีร่างกายใหญ่โต พละกำลัง ความแข็งแกร่งมากมาย สามารถประกาศอำนาจความเป็นชายด้วยความรุนแรง ความหยาบกักขฬะความดิบเถื่อนอันเป็นอาวุธประจำเพศ ผู้หญิงจึงใช้ร่างกายตนเองในการประกาศอำนาจบ้างจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะไม่รู้จะเอาอะไรไปต่อกรกับผู้ชายอกสามศอกนอกจากคุณสมบัติที่ถูกยัดเยียดให้มี

เรื่องนี้พระพยายามสอนให้ฉันรู้ว่าสตรีมีมารยาสาไถเป็นภัยต่อบุรุษ แต่ไม่ยักสะท้อนให้เห็นถึงความฉลาดน้อยของบุรุษที่ยังจะไม่รู้จักมีมารยาสาไถ ก็เป็นภัยให้ตัวเองเช่นกัน