วันพฤหัสบดีที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2551

เมียงู


คงเป็นเพราะอากาศที่นับวันยิ่งทวีความร้อนยิ่งขึ้น จึงมีข่าวพิลึกพิลั่นออกมาให้เห็นแทบทุกฉบับหนังสือพิมพ์ ครั้งล่าสุด หนุ่มชาวอุดรธานีแต่งงานกับงูเหลือมเพศเมียที่พบกันในหนองน้ำขณะออกหาปลา


เรื่องเอางูมาทำเมียที่ฮือฮาตามหน้าหนังสือพิมพ์ที่ผ่านมา ไม่ใช่เรื่องตลก พิลึกกึกกือ วิปริตวิตถาร ปัญญาอ่อนสมองไหล หากแต่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมาช้านาน และเป็นเรื่องระดับมหภาค เป็นเรื่องการเมืองการรัฐไม่ใช่เรื่องของชาวบ้านร้านตลาดไร้ความรู้อย่างที่กระฏุมภีมีการศึกษาแบบตะวันตกเข้าใจกัน


เพราะเรื่องคนจับงูมาทำเมียมีมาเนิ่นนานตั้งแต่สมัยยังมีอาณาจักรอโยธยา ซึ่งกษัตริย์ในตอนต้นกรุงศรีอยุธยานั้น มีพิธีกรรมอย่างหนึ่งคือ “ พระราชพิธีเบาะพก” ที่พระมหากษัตริย์ในเวลานั้นต้องไปบรรทมกับ “ แม่หยัวพระพี่เจ้า ” ในเดือนมืดคืนแรม ซึ่งพระราชพิธีนี้ก็เป็นวัฒนธรรมที่ได้รับอิทธิพลมาจากเขมร ที่กษัตริย์เขมรต้องไปบรรทมกับนางงู กลางดึก ณ ยอดของประสาททองคำ ที่สถิตของพระภูมิเจ้าที่แห่งนคร ซึ่งเป็นภูติงู 9 เศียร ตามบันทึกของโจวต้ากวานที่ฟังมาจากคำล่ำลือของชาวบ้านนครธม ขณะที่เขาเข้ามาพร้อมกับราชทูตแห่งราชวงศ์หงวนเมื่อ ค.ศ. 1295 – 1296 กล่าวว่าทุกคืนภูติงู 9 เศียรจะกลายร่างเป็นผู้หญิงแล้วสมสู่กับกษัตริย์ทุกคืนก่อนที่จะไปบรรทมกับมเหสี มิฉะนั้นจะเกิดอาเพศแก่บ้านเมือง


การที่กษัตริย์อโยธยาไปบรรทมกับแม่หยัวพระพี่เจ้า คงชะรอยตามกษัตริย์เขมรที่ไปบรรทมกับนางงูทุกคืน หากแต่พระราชพิธีเบาะพกไม่ได้ประกอบทุกคืนเหมือนอย่างราชพิธีเขมร


ทั้งนี้ก็เพื่อความอยู่รอดของบ้านเมือง เป็นพิธีกรรมเพื่อความอุดมสมบูรณ์ และความมั่นคงของราชอาณาจักรล้วนๆ


ซึ่งชาวอโยธยาก็ยังเชื่อว่า พระร่วงที่คนไทยรู้จักกันดี ก็เป็นลูกที่เกิดจากมนุษย์สมสู่กับงูเช่นกัน จากคำให้การของชาวกรุงเก่าเล่าว่า พระเจ้าจันทราชา ผู้สร้างเมืองสุโขทัย ได้ประพาสป่าพบหญิงสาวงามนางหนึ่งจึงหลงรักแล้วทั้งคู่ก็สมพาสกัน เมื่อพระองค์ขอให้นางกลับวังไปอยู่ร่วมกันนางได้ปฎิเสธเพราะนางเป็นนางนาค เกรงว่าจะสร้างความเดือดร้อนให้คนในวัง เพราะถ้านางโมโหจะพ่นพิษใส่ตามวิสัยงู นางจึงหนีไปอยู่เมืองบาดาล ครั้นนางนาคตั้งครรภ์และถึงกำหนดนางจึงมาตกฟองที่ไร้อ้อยของ2ตายาย 2 ตายายเห็นก็นึกประหลาดจึงเก็บรักษาเอาไว้ที่เรือน เมื่อฟองแตกออกเป็นกุมารหน้าตาน่าเอ็นดูจึงเลี้ยงไว้เป็นบุตรบุญธรรม จวบเมื่ออายุได้ 15 ปี หน้าตางดงาม มีวาจาสิทธิ์ อานุภาพมหาศาล จึงตั้งชื่อให้ว่า พระร่วง กิติสัพท์เลื่องลือไปถึงหูพระเจ้าจันทราชา เมื่อพระราชาจึงเรียกตายายทั้ง 2 ถามไถ่ประวัติของพระร่วงก็เชื่ออย่างสนิทใจว่าต้องเป็นโอรสของตนกับนางนาคเป็นแน่แท้ จึง รับพระร่วงมาอยู่ด้วยแล้วพระราชทานทรัพย์ให้ 2 ตายายอย่างมหาศาล


เรื่องคนได้งูเป็นเมียนั้นเป็นเพียงเรื่องเล่าลือของชาวบ้านทั้งชาวนครธมและชาวกรุงเก่าซึ่งอาจเป็นเพียงพิธีกรรมลึกลับอย่างหนึ่งของชาวเขมรเกี่ยวกับนาคาคติ หรือการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างชุมชนหนึ่งกับอีกชุมชนหนึ่งที่บูชางูเป็น totem ซึ่งกระจายตัวอยู่ตามอุษาคเนย์ ซึ่งด้วยเหตุนี้ข่าวของของหนุ่มชาวอีสานจะได้รับความสนใจข้ามฝั่งโขงไปยังประเทศลาว


เพราะสุวรรณภูมิมีความเคารพกราบไหว้งูกับเจ้าแม่ดินมาเนิ่นนาน ก่อนที่สุวรรณภูมิเวอร์ชั่นเทพเจ้าผู้ชายกวนเกษียรสมุทรจะถือกำเนิดขึ้นเสียอีก


แต่ถึงอย่างไรการมีความสัมพันธ์ระหว่างคนกับนางงูก็เป็นการสร้างความชอบธรรมให้กับความยิ่งใหญ่และอำนาจของผู้ปกครองบ้านเมืองได้เป็นอย่างมีประสิทธิภาพ


แม้แต่ระบบการปกครองแบบรวมศูนย์อำนาจที่ดีดตัวเองและพยายามกลืนกลายระบบการปกครองท้องถิ่นที่มีมาแต่ดั้งเดิม ก็ยังให้เห็นความสัมพันธ์ของผู้ปกครองกับนาคได้เป็นอย่างดี เห็นได้จากสัญลักษณ์รูปครุฑของทางราชการที่รวมศูนย์ไว้ในเมืองหลวง ก็เหมือนจะสร้างความชอบธรรมเชิงสัญลักษณ์ ที่ให้ระบบศูนย์กลางจิกกินคนท้องถิ่นราวกับครุฑจับนาคกินตามอำเภอใจ


เพราะสังคมเมืองไม่ใช่สังคมนาคสังคมผี เพราะกรุงเทพชื่อก็บอกแล้วว่าไม่ใช่เมืองของผีหรืองู คนที่empowerด้วยนางนาค ไม่ว่าจะสมสู่หรือเกิดจากครรภ์ จึงเป็นอื่นต่อบ้านเมืองของผู้ที่เจริญแล้ว เมืองในปัจจุบันจึงไม่ใช่พื้นที่ของทั้งผีและงู แต่เป็นเมืองของพุทธ พราหมณ์ และผู้ชาย ด้วยเหตุนี้ จึงมีเรื่องเล่าชาวกรุงเทพที่ว่า ผีสาวชื่อ”นาค”ต้องถูกปราบและพรากจากผู้ชายด้วยอำนาจรัฐ ( ทิดมากต้องไปเป็นทหาร ) และอำนาจสงฆ์ ( โดนพระพุฒาจารย์ ( โต ) ปราบ )


การที่คนลุกขึ้นมาสมพาสกับงูนั้นดูจะเป็นเรื่องของอดีต แต่ก็ใช่ว่าจะหายจากไปพร้อมกับกาลเวลา เพราะยังมีให้เห็นในปัจจุบัน แต่ไม่ใช่เฉพาะจังหวัดอุดรธานี แต่มีทุกที่ที่มีผู้หญิง
เพราะผู้หญิงถูกเปรียบให้เหมือนงูมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว และการเรียกนางอันเป็นที่รักว่า “ แม่เนื้อเย็น ” ก็เป็นคำเรียกที่เกิดจากความเชื่อที่ว่าผู้หญิงตัวเย็น เงี่ยนไม่ได้ร้อนไม่เป็น กลายเป็นสัตว์เลือดเย็นเหมือนงู หรือเป็นมนุษย์ที่มีระบบความร้อนเผาผลาญไม่มาก จนอสุจิเป็นสีแดง ( ประจำเดือน ) ไม่ใช่สีขาวใสเหมือนผู้ชาย ดังที่นักปรัชญาตะวันตกเชื่อกันเมื่อ 400 - 300 กว่าปีก่อนคริสตกาล นอกจากนี้ผู้หญิงยังถูกมองว่า ไว้ใจไม่ได้เหมือนอสรพิษลิ้น2แฉก เลี้ยงไม่เชื่อง จะแว้งฉกกัดเมื่อไรไม่รู้


ไม่ว่าปีไหนพ.ศ.ไหนโลกจะร้อนมากขึ้นมากเพียงใด ผู้หญิงก็ยังตัวเย็นเป็นงูอยู่เหมือนเดิม อย่าเพิ่งไปว่าคุณพี่สามีนางงูที่ข้ามภพข้ามชาติข้ามสปีชี่มารักกันว่าแม่งบ้า เพราะผู้ชายส่วนใหญ่มันก็บ้าทั้งนั้น เห็นบอกว่าเมียตัวเองแม่ตัวเองเลือดเย็นแถมเลี้ยงไม่เชื่อง … แต่ก็รักนักรักหนา