วันเสาร์ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2552

"ไรท"ลาแล้ว ล่วงลับ...ร่ำลา


และแล้วโรคมะเร็งก็ได้คร่าชีวิตสมาชิกในครอบครัวฉันไปอีกคน ที่แปลกไปจากครั้งก่อนๆคือครั้งนี้กลับไม่ใช่ตายาย ลุงป้าน้าอา ญาติพี่น้อง ทว่าเป็นคนที่ฉันไม่เคยพบไม่เคยเจอ แม้แต่หน้าก็ไม่เคยเห็น อย่างดีก็เคยเห็นแต่เพียงจากรูปภาพจากGoogleที่มีอยู่น้อยนิด รูปถ่ายจากหน้าคอลัมน์ที่เขาเขียน ปกหนังสือที่เขารวบรวมถ่ายทอดความรู้ความคิดต่างๆ แค่เพียงเท่านั้นฉันก็รักและผูกพันเขาเหลือเกิน จำได้ว่าสมัยเรียนมหา’ลัย ฉันชอบโดดเรียนไปขลุกอยู่ในหอสมุดเพื่ออ่านคอลัมน์จาก “ศิลปวัฒนธรรม"”และ “มติชนสุดสัปดาห์”เล่มเก่าๆ ทุกครั้งที่เริ่มอ่าน ฉันจะเปิดหน้าสารบัญเป็นอย่างแรกเพื่อค้นดูว่า เขาเขียนหน้าไหนแล้วจะรีบเปิดหาคอลัมน์นั้นอย่างใจจดใจจ่อ
คอลัมน์ที่ชอบว่าด้วย สยาม อุษาคเนย์ อินเดียใต้ ชาติทมิฬ เจ้าแม่ดิน ปลัดขิก ของ “ฝรั่ง”คนหนึ่งที่ชื่อ... ไมเคิล ไรท
วันที่ทราบข่าวว่า มะเร็งได้กล่อมให้ไมค์หลับใหลไม่ให้ตื่นขึ้นมาอีก จำได้ว่าอยู่ที่ทำงานได้รับmassageจากเพื่อนสนิท ตอนนั้นฉันปฏิเสธข่าวร้ายแล้วพยายามปลอบใจให้มันเป็นข่าวลือ ทว่ากลับใจหายรู้สึกผ่าวดวงตาเหมือนจ้องที่จ้า อาการร้องไห้ไม่ใช่อาการที่จะบรรเทาความรู้สึกอันอัดอั้นข้างในได้ ฉันจึงไม่ทำ ความตายไม่ได้พรากฝรั่งแก่ๆคนหนึ่งที่ชอบพูดเรื่องจู๋จิ๋ม เจ้าแม่งูเจ้าแม่ห่า อุษาคเนย์ ไปเท่านั้น แต่ได้พังเหมืองแห่งปัญญาอันมีค่ายิ่งในดินแดนที่เรียกว่าทองอย่าง “สุวรรณภูมิ”อย่างไม่เหลือซาก ในฐานะอดีตนักศึกษาโครงการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ฉันสำนึกตลอดเวลาว่าเป็นหนี้บุญคุณและความรู้ไมค์มากมายมหาศาล

...เพราะถ้าไม่มีคนอย่างไมค์ ก็จะไม่มีคำอย่าง “อุษาคเนย์” …

แม่ของไมค์พูดถูก แม่ของไมค์บอกว่าความตายไม่ใช่เรื่องทุกข์โศก.... แต่การสูญเสียมันใช่ โดยเฉพาะการสูญเสียคนอย่างไมค์ เป็นเรื่องที่คำว่าทุกข์โศกไม่เพียงพอสำหรับการนิยามอารมณ์ความรู้สึกนั้นได้
เพราะสำหรับฉัน ไมเคิล ไรท ไม่ได้เป็นแค่คอลัมนิสต์ นักคิดนักเขียน แต่เป็นนักจุดประกาย เป็นครู เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ความคิดและความอ่าน
ฉันไม่ได้แค่เสียดายความรู้ที่ไมค์เก็บไว้ในหัวของเขาที่ได้ตายไปพร้อมกัน แต่ฉันเสียดายที่ “ว่าจะเขียนจดหมายไปหา” แต่ไม่ได้ทำสักที
ที่ฉันพล่ามมาซะยืดยาวขนาดนี้ เพื่อนฉันบอกว่า ไม่ต่างอะไรไปจาก แฟนคลับของ บิ๊ก ดีทูบี ที่ฟูมฟายกับการจากไปของศิลปินคนโปรดที่ตนเองไม่เคยได้เข้าถึงตัวตนจริงๆของเขา อย่างเก่งก็ได้แค่สัมผัสผลงาน
จะอะไรก็ช่างเหอะ ฉันรักไมค์ และไมค์ก็เป็นอุทาหรณ์ให้ฉันตระหนักได้ว่าอยากจะทำอะไรให้รีบทำ ไม่อย่างนั้นจะนึกเสียดายทีหลังที่ไม่ยอมเขียนจดหมายตั้งแต่แรก คราวนี้ฉันจึงเขียน ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขียนให้ใครอ่าน เพราะไมค์ไม่อยู่ให้อ่านแล้ว หรืออย่างน้อยที่สุดให้ โมหิณี แมวผีของไมค์อ่านฉันก็ดีใจแล้ว