วันศุกร์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ไม่เชื่ออย่าลิ่วลม


เมื่อคืนก่อนดูรายการอะไรสักอย่างๆ มีดาราหนุ่มมาเล่าประสบการณ์ว่าเธอทำธุรกิจจนร่ำรวยเทน้ำเทท่าอย่างทุกวันนี้ก็เพราะอภินิหารกุมารทองที่เลี้ยงไว้ในบ้านนับพันตัว

เธอยังเล่าต่ออีกว่า ไม่เพียงแต่กุมารจะให้โชคลาภ ทรัพย์สิน เงินทอง แต่ยังช่วยเฝ้าบ้านให้ คอยเตือนภัยล่วงหน้า พาทัวร์ยมโลก สำหรับฉัน ไม่เพียงไม่เชื่อ แต่ยังไม่ลบหลู่เพราะของแบบนี้ ใครใครเชื่อ เชื่อ ใครใคร่เช่า เช่าไปกราบไหว้บูชาก็แล้วแต่ปัจเจกบุคคล

แต่แปลกตรงที่ดาราคนนั้นเธอก็เหมือนกับคนอื่นๆ ที่ใช้คำว่า “เลี้ยง” มากกว่าจะใช้คำว่า “บูชา” กุมารทอง เมื่อเทียบกับสิ่งที่เขาว่าศักดิ์สิทธิ์เหมือนกัน ฉันยังไม่เคยได้ยินใคร เลี้ยงพระพุทธจารย์โต หรือเลี้ยงหลวงปู่ทวด กุมารทองจึงมีสถานะที่ต่างไปจาก พระพิฆเณศ จตุคามรามเทพ หินธิเบต พระกริ่งนิรันตราย ที่นิยมใช้คำว่า “บูชา” แทน จึงดูเหมือนว่ากุมารทองไม่ใช่แค่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ เท่านั้น แต่ยัง “เชื่อง” อีกด้วย เพราะไม่ได้มีไว้ขอเพื่อให้ประสบความสำเร็จในชีวิตหรือสมหวังอย่างเดียว แต่ยังมีไว้เพื่อใช้งานอีกด้วย


การเลี้ยงกุมารทองจึงไม่ได้เป็นการเลี้ยงไว้ดูเล่นเพื่อความสวยงาม หรือเพื่อความเพลิดเพลิน เหมือนไม้ดอกไม้ประดับ ปลาทอง ปลาหางนกยูง (เพราะฉันว่าดูน่าขนลุกมากกว่า) แต่เลี้ยงไว้เพื่อใช้งานเหมือนช้างเหมือนม้า

ไม่รู้เหมือนกันว่า UNICEF ท่านคิดยังไงกับการเลี้ยงกุมารทอง เป็นการใช้แรงงานเด็ก เป็น child abuse ที่ต้องกำจัดหรือเปล่า แต่ความเชื่อเก่าแก่นี้มันก็เข้ากับสังคมไทยได้ดี เพราะ ไทยเราไม่ใช้งานผู้ใหญ่แต่ใช้เด็ก ไม่ว่าเด็กนั่นจะเป็นลูกเต้าเหล่าใครก็ตามเพราะ บางครั้งคำว่า “เด็ก” ก็ใช้เรียกแทน “คนรับใช้” และ“มีลูกไว้ทันใช้” ย่อมดีกว่าเสมอตั้งแต่โบร่ำโบราณ


อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าจะไม่เข้ากันไม่ได้กับสำนวน “คบเด็กสร้างบ้านคบหัวล้านสร้างเมือง” เพราะ เมื่อเทียบกับชูชก และ นางกวัก ที่เล่าตามกันมาว่าทำให้ร่ำรวยเหมือนกัน กุมารทองกลับ เฮี้ยนได้ multi purpose มากกว่า เพราะถ้าเชื่อตามที่ดาราคนนั้นเล่าว่ากุมารทองสามารถช่วยหาที่จอดรถ คอยเฝ้าบ้าน ไล่ขโมยขโจร ใช่ว่าดีแต่กวักเรียกลูกค้าอย่างเดียว นางกวักหรือชูชกจึงนิยมบูชากันในกลุ่มพ่อค้าแม่ขาย โชเฟอร์แท็กซี่ เพราะอาชีพอื่นเทพเธอเฮี้ยนได้ไม่ครอบคลุม

(หากเชื่อตามที่ดาราคนนั้นบอก) อย่างไรก็ดี การเลี้ยงกุมารทองเป็นการช่วยวิญญาณเด็กที่ตายก่อนกำหนด ไม่ว่าตายเพราะแท้ง ตายห่าตายโหง ให้มีที่อยู่ที่สิงด้วยการเรียกมาสิงในรูปปั้นเด็ก แถมยังเป็นการให้ผีได้ทำบุญช่วยเหลือผู้อื่น พอเกิดใหม่จะได้เป็นเทวดา เพราะสะสมบุญมาเยอะแล้วเมื่อตอนสิงอยู่ในรูปปั้น

ว่าแต่ว่า ผีที่ตาย ทำไมมีแต่เด็กผู้ชาย ไม่มีเด็กผู้หญิงบ้าง เขาเรียกเฉพาะวิญญาณเด็กผู้ชาย เลือกปฏิบัติไม่เรียกเด็กผู้หญิง หรือว่าบางทีการเลี้ยงกุมารทองเป็นการตอบสนองค่านิยมความชอบมีลูกชายมากกว่ามีลูกสาวของสังคมไทย

รบกวน ศูนย์พิทักษ์ เด็ก เยาวชน และสตรี ช่วยจัดการที...

วันเสาร์ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2552

"ไรท"ลาแล้ว ล่วงลับ...ร่ำลา


และแล้วโรคมะเร็งก็ได้คร่าชีวิตสมาชิกในครอบครัวฉันไปอีกคน ที่แปลกไปจากครั้งก่อนๆคือครั้งนี้กลับไม่ใช่ตายาย ลุงป้าน้าอา ญาติพี่น้อง ทว่าเป็นคนที่ฉันไม่เคยพบไม่เคยเจอ แม้แต่หน้าก็ไม่เคยเห็น อย่างดีก็เคยเห็นแต่เพียงจากรูปภาพจากGoogleที่มีอยู่น้อยนิด รูปถ่ายจากหน้าคอลัมน์ที่เขาเขียน ปกหนังสือที่เขารวบรวมถ่ายทอดความรู้ความคิดต่างๆ แค่เพียงเท่านั้นฉันก็รักและผูกพันเขาเหลือเกิน จำได้ว่าสมัยเรียนมหา’ลัย ฉันชอบโดดเรียนไปขลุกอยู่ในหอสมุดเพื่ออ่านคอลัมน์จาก “ศิลปวัฒนธรรม"”และ “มติชนสุดสัปดาห์”เล่มเก่าๆ ทุกครั้งที่เริ่มอ่าน ฉันจะเปิดหน้าสารบัญเป็นอย่างแรกเพื่อค้นดูว่า เขาเขียนหน้าไหนแล้วจะรีบเปิดหาคอลัมน์นั้นอย่างใจจดใจจ่อ
คอลัมน์ที่ชอบว่าด้วย สยาม อุษาคเนย์ อินเดียใต้ ชาติทมิฬ เจ้าแม่ดิน ปลัดขิก ของ “ฝรั่ง”คนหนึ่งที่ชื่อ... ไมเคิล ไรท
วันที่ทราบข่าวว่า มะเร็งได้กล่อมให้ไมค์หลับใหลไม่ให้ตื่นขึ้นมาอีก จำได้ว่าอยู่ที่ทำงานได้รับmassageจากเพื่อนสนิท ตอนนั้นฉันปฏิเสธข่าวร้ายแล้วพยายามปลอบใจให้มันเป็นข่าวลือ ทว่ากลับใจหายรู้สึกผ่าวดวงตาเหมือนจ้องที่จ้า อาการร้องไห้ไม่ใช่อาการที่จะบรรเทาความรู้สึกอันอัดอั้นข้างในได้ ฉันจึงไม่ทำ ความตายไม่ได้พรากฝรั่งแก่ๆคนหนึ่งที่ชอบพูดเรื่องจู๋จิ๋ม เจ้าแม่งูเจ้าแม่ห่า อุษาคเนย์ ไปเท่านั้น แต่ได้พังเหมืองแห่งปัญญาอันมีค่ายิ่งในดินแดนที่เรียกว่าทองอย่าง “สุวรรณภูมิ”อย่างไม่เหลือซาก ในฐานะอดีตนักศึกษาโครงการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ฉันสำนึกตลอดเวลาว่าเป็นหนี้บุญคุณและความรู้ไมค์มากมายมหาศาล

...เพราะถ้าไม่มีคนอย่างไมค์ ก็จะไม่มีคำอย่าง “อุษาคเนย์” …

แม่ของไมค์พูดถูก แม่ของไมค์บอกว่าความตายไม่ใช่เรื่องทุกข์โศก.... แต่การสูญเสียมันใช่ โดยเฉพาะการสูญเสียคนอย่างไมค์ เป็นเรื่องที่คำว่าทุกข์โศกไม่เพียงพอสำหรับการนิยามอารมณ์ความรู้สึกนั้นได้
เพราะสำหรับฉัน ไมเคิล ไรท ไม่ได้เป็นแค่คอลัมนิสต์ นักคิดนักเขียน แต่เป็นนักจุดประกาย เป็นครู เป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ความคิดและความอ่าน
ฉันไม่ได้แค่เสียดายความรู้ที่ไมค์เก็บไว้ในหัวของเขาที่ได้ตายไปพร้อมกัน แต่ฉันเสียดายที่ “ว่าจะเขียนจดหมายไปหา” แต่ไม่ได้ทำสักที
ที่ฉันพล่ามมาซะยืดยาวขนาดนี้ เพื่อนฉันบอกว่า ไม่ต่างอะไรไปจาก แฟนคลับของ บิ๊ก ดีทูบี ที่ฟูมฟายกับการจากไปของศิลปินคนโปรดที่ตนเองไม่เคยได้เข้าถึงตัวตนจริงๆของเขา อย่างเก่งก็ได้แค่สัมผัสผลงาน
จะอะไรก็ช่างเหอะ ฉันรักไมค์ และไมค์ก็เป็นอุทาหรณ์ให้ฉันตระหนักได้ว่าอยากจะทำอะไรให้รีบทำ ไม่อย่างนั้นจะนึกเสียดายทีหลังที่ไม่ยอมเขียนจดหมายตั้งแต่แรก คราวนี้ฉันจึงเขียน ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขียนให้ใครอ่าน เพราะไมค์ไม่อยู่ให้อ่านแล้ว หรืออย่างน้อยที่สุดให้ โมหิณี แมวผีของไมค์อ่านฉันก็ดีใจแล้ว