วันพุธที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2551

เพ้อ


เคยไหม ที่เราดันไปสบสายตากับคนแปลกหน้าคนหนึ่ง ที่ไม่ได้ดูดีอะไรมาก แต่มันทำให้เรานึกถึงเค้าอยู่ตลอดเวลา จำวงหน้าและแววตานั้นตลอด

เคยไหม ที่เราแอบนึกถึงคนๆนั้นหวังว่าจะได้เจอกันอีกโดยบังเอิญ แม้ว่าโลกนี้ช่างกว้าวใหญ่เสียเหลือเกิน เกินที่ความหวังนั้นจะเป็นจริง

เคยไหม ที่เราเฝ้านึกถึงคนๆนั้นทั้งที่ความทรงจำเริ่มพล่าเลือน

เคยไหม ที่อยู่ดีๆก็นอนไม่กลับ กระสับกระส่าย ในกลางดึกที่เงียบงัน

เคยไหม ที่รู้สึกว่าเตียงมันกว้างไปสำหรับคนๆเดียว และหมอนข้างไม่ได้ช่วยให้เราวงแขนของเรามีค่าขึ้น

เคยไหม ที่จู่ๆร่างกายมันก็ร้อนวูบวาบเหมือนจับไข้ ท้องใส้ปั่นป่วนเมื่อนึกถึงใบหน้าจางๆของเขาคนนั้น

เคยไหม ที่ร่างกายที่ผ่าวร้อน ถูกสัมผัสลูบไล้อย่างช้าๆ ด้วยมือตนเองอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว

เคยไหม ที่แรงลมหายใจเราพ่นออกเหมือนกาน้ำร้อนที่เดือดพล่าน

เคยไหม ที่อยู่ดี ก็ครางในลำคอ และร้องเรียกเค้าคนั้น คนที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าชื่ออะไร

เคยไหม ที่อารมร์นั้นกลับเหมือนภูเขาไฟทีระเบิดพวยพุ่งความร้อนที่อัดแน่นอยู่ภายใน

เคยไหม ที่หลังจากคืนนั้น เค้า... ไม่มีค่าอะไรอีกเลย

วันอังคารที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2551

งานประชุมประจำปีเพศวิถีศึกษาครั้งที่ 1


แล้วงานนี้ก๊ลุล่วงผ่านไปด้วยดี ฉันเป็นเพียงคนตัวเล็กๆในงาน ที่ชื่นชมกับการทำงานของคณาจารย์ นักวิชาการ นักศึกษาป.โท พวกพี่เจ๋งจริงๆ

ฉันอยากเป็นแบบนั้นบ้างจัง


วันนี้ได้ร่วมพูดคุยกับพี่ๆ ngo สายต่างๆพูดเรื่องเพศ เปิดเผยเรื่องของลับแต่มันก็ยังเป็นของลับเหมือนเดิม รู้อะไรมากมายจาก 2 วันที่ผ่านมา ฉันรู้สึกว่าเวลามันช่างสั้นจัง


ที่ผ่านมาทั้ง 2 วัน ฉันได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างมากมาย ฉันได้รู้จักเกย์มากขึ้น เลสเบี้ยนมากขึ้น คนที่ติดเชื้อhiv คนที่หลากหลายเพศภาวะ เพศวิถี ผู้หญิงที่เบื่อสามี ผู้หยิงที่เงี่ยนมากกว่าสามี แม่ที่เป็นทอม โสเภณีใจดี มีอารมณ์ขัน ผู้ชายที่เคยเตะตุ๊ด ผู้ชายที่เคยนอนกะเกย์ คนที่เคยนอนกับคน สัตว์ สิ่งของ ...บลาๆๆ
โลกใบนี้มันมีพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาล ผู้คนหลากหลายอัตลักษณ์ ความปรารถนา แต่แปลกที่โลกใบนี้ไม่ค่อยมีพื้นที่ให้คนมากมายได้ยืนและพูดออกมา
ฉันได้แต่หวังว่าสักวันนึง โลกจะต้องยอมรับคนที่ชอบมีsexกับสัตว์ กับศพ บ้าง

วันจันทร์ที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2551

ก้าวเเรก

ในที่สุด สิ่งที่ฉันกลัว ประหวั่นวิตก ก็ถูกก้าวข้ามผ่านมาได้ด้วย 2 ขาที่สั่นเทา จำได้ว่าตอนอยู่บนเวที ขนาบข้างด้วยคนที่รู้จักชื่อเสียงและเบื้องหน้ามีแต่คนที่รู้จักหน้าบ้าง รู้จักชื่อเสียงบ้าง ร่วม 150 กว่า คน





ตาเถร... ใคร หรือ อะไร จับแนมาโยนเข้าสู่สถานการณ์นี้กัน...


ในตอนนั้นไม่มีเวลามาโทษ invisible hand ที่จับฉันมาวางตรงหน้าเวทีทีมีคนเกิน100ร่วมฟังบรรยาย


จำได้ว่ามือสั่น มากๆๆๆ ระรัวดั่งจับไข้ วูบวาบที่หน้าอกและท้องน้อย ฉันพูดเร็วเท่าที่ เวลา 20 นาทีจะกำหนดเนื้อหา 16 หน้า ได้อยู่


แม่งเอ้ย..พอพูดจบ น้ำลายเหนียวเป็นบ้าเลย น้ำในร่างกายมันระเหยไปพร้อมกับลมแอร์มั้ง





คนตรบมือด้วยแหละ ไม่เคยมาก่อนในชีวิตเลย วาทีขนาดนี้ มันเป็รก้าวแรกที่มหัศจรรย์ สำหรับฉันนะ


คนส่วนใหญ่ที่มาเสนอบทความแต่งตัวเรียบร้อยทั้งนั้น มีแต่ฉันที่ใส่กางเกงยีนส์ เสือ้กล้าม คลุมด้วยเจคเกท ร้องเท้าคอนเวิร์ส แถมเด็กที่สุดบนเวทีอีกตะหาก ถามบทความที่คนอื่นเขาพูดกันเป็นวิทยานิพนธ์ทั้งนั้น ของฉันสิ เป็นแค่บทความกิ๊กก๊อก ที่ไม่มีชื่ออาจารย์ดังๆร่วมแจมในนั้น





อยากจะขอบคุณ อ. ชัยวัฒน์ บุนนาค มากๆๆเลยที่มานั่งฟังเด็กคนนี้พูด ตะกุกตะกัก ทั้งที่อาจารย์ดูเหนื่อยมากวันนี้ แอบรู้สึกว่าเราทำให้อาจารย์ลำบากชอบกล.. รักอาจารย์จัง





อยากขอบคุณ พ่อแม่มากเลยวันนี้ อยากให้รู้ว่าวันนี้ฉันพูดอะไรบ้าง แต่ไม่อยากให้อยู่บนเวที เพราะอาจจะต้องชอคแน่ว่าฉันพูดอะไรลงไปต่อหน้าคน150 กว่าคน





อยากขอบคุณ พี่กล่อๆๆที่ชื่อ ชยานันท์ น่ารักมากมาย ที่นั่งฟังเกือบเเถวหน้า หน้าขาวเด่นเตะตามากๆ ทำให้งานบรรยายของฉันรู้สึกมีชีวิตชีวามากขึ้น


อยากขอบคุณทุกคนที่(ทน)ฟังฉันบรรยายตลอด20นาที อันไม่ค่อยรู้เรื่อง แต่ยอมนั่งฟังเด๊กคนนี้พูดอย่างเงียบกริบ จนฉันไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่


ขอขอบคุณ พี่ป้าๆเพื่อนๆที่เรียนโทด้วยกันที่อุตส่าห์มาเชียร์แล้วแอบทำเราเขินบนเวที


ขอขอบคุณผีเดือนตุลา ผีเดือนพฤษภาทมิฬ ที่ทำให้ฉันไม่กล้าหลับในรร.รัตนโกสินทร์ ( เพราะกลัวโดนสิง หรือเข้าฝัน ) ยิ่งช่วงทานอาหารกลางวัน มีสเปเชี่ยล เอฟเฟรค ไฟดับ 2 รอบให้ตื่นเต้นเล่น จำได้ว่า มีเสียงกรี๊ดดังขึ้น ...แต่เป็นเสียงที่ออกมาจากลำคอที่มีลูกกระเดือก


ขอขอบคุณเก้งๆที่ไม่สวย ไม่น่ารักทั้งหลาย ที่ทำให้ฉันรู้สึกน่ารักขึ้นเป็นกองเลยวันนี้



ขอบคุณพี่ๆที่วิจารณืวิพากษ์ ติติง งานเขียนและ การเสอนบทความของฉันในวันนี้ ฉันจะได้ไม่เหลิงกับคำชมเเละเสียงตรบมือ
ขอบคุณเพื่อนๆที่เป็นกำลังใจมากมาย ... อีแซม อุตส่าห์มาเมนต์ใน hi 5 แต่กว่ากูจะได้อ่าน กูบรรยายเสร็จแล้ว 55

และที่ขาดไม่ได้ คือ ทีมงานที่ร่วมจัดงานครั้งนี้ขึ้น รวมไปถึงอาจารย์กรรมการที่รับบทคัดย่อของฉันมาให้นำเสนอผลงานบนหงานเสวนา ( และขอโทษที่ทำให้ผิดหวังที่ ฉันไม่ค่อยประสีประสาเท่าไหร รู้สึกว่ายังทำได้ไม่ดีพอ เหอๆ )





ที่ขาดไม่ได้เลย ขอบคุณตัวเอง .... ทำไมกูเจ๋งแบบนี้วะ

วันอาทิตย์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2551

ครั้งแรก

พรุ่งนี้เป็นวันที่ 7 มกราคม ฉันได้กำหนดการ เสนอผลงานในงานประชุมเพศวิถีศึกษา เวลา บ่าย 3 โมง เวลานอนฉันเลยทีเดียว...



ไม่เพียงแต่งานประชุมครั้งนี้จะเป็นครั้งแรกของเพศวิถีศึกษา แต่ยังเป็นเวทีเเรกที่ฉันจะได้นั่งอยู่ตำแหน่งผู้พูดบ้าง เพราะที่ผ่านมาฉันอยู่ตำแหน่งผู้ร่วมฟังเสวนาไม่ว่าจะเป็นวิชาการ หรืออะไรก็ตาม ... นี่เป็นครั้งแรกจริงๆที่จะมีคนที่ฉํนเคยฟังเค้าพูดมาฟังฉันบ้าง



นี่เป็นครั้งแรกที่ฉํนกลัวมากที่สุด ครั้งแรกที่ฉันหมดความมั่นใจในตัวเอง ฉันดีใจที่เขารับบทความฉํนเพื่อเสนอในงานประชุม แต่ฉันก็รู้สึกว่าฉันยังไม่ฉลาดมากขนาดที่จะพูดให้คนฉลาดๆกว่าฉันฟัง

ถ้าพูดผิดจะทำไง

ฉ้าปวดขี้จะทำไง

ถ้า สิ่งที่ฉันเสนอ ที่ฉันคิด มันผิดล่ะจะทำไง

ฉิบหายละสิ.......





จำได้ว่า sex ครั้งแรกฉันผ่านมาได้ดีเยี่ยม "คนนั้น" ( ฉํนจำชื่อไม่ได้ ) บอกว่าไม่เชื่อว่าเป็นครั้งแรกของฉัน ฉันภูมิใจกับมัน ฉันมั่นใจกับมัน วาทกรรมที่ว่า

"ครั้งแรก ย่อมเจ็บปวดเสมอ "มันไม่จริง ฉันเถียง แต่ครั้งแรกของพรุ่งนี้น่ะสิ น่ากลัวเป็นบ้าเลย



ปล. ถ้าฉันฉลาดได้ครึ่งหนึ่งของ ธเนศ วงศ์ยานนาวา รอบรู้ได้เสี้ยวหนึ่งของ จิตร ภูมิศักดิ์ มองได้กว้างเท่า นิธิ เอียวศรีวงศ์ หรือได้ครึ่งหนึ่งของใครๆอย่าง ธิดา สาระยา สมศักดิ์ เจียม... บลาๆๆๆๆ ฉันคงไม่ประหวั่นพรั่นพรึงขนาดนี้หรอกย่ะ

วันศุกร์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2551

ขอพูดถึงแม่บ้าง


ท่ามกลางความวิปริตของอุณหภูมิอากาศและบรรยากาศการเมือง คริสต์มาสอีฟที่ผ่านมาจึงไม่ค่อยสนุกนัก จำได้ว่าคืนนั้นฉันกับเพื่อนต่างร่อนร่ายเริงระบำกับแสงเสียงเช่นเคย และเมื่อคืนค่ำแห่งความสนุกใต้ลูกบอลดิสโก้ระยับตาดับวูบลง พวกเราจึงแยกย้ายกลับบ้านใครบ้านมัน ขณะที่ฉันจอดรถแวะริมทางเพื่อไปอ้วกริมฟุตบาทด้วยฤทธิ์แอลกอฮอร์ สายตาเหลือบไปสะดุดกับซุ้มดอกไม้ประดับด้วยแสงไฟแพรวพราว ห้อมล้อมปูนปั้นผู้หญิงชุดขาวกำลังอุ้มเด็กตัวน้อยด้วยใบหน้าสงบเสงี่ยมหากแต่สง่างาม
ในช่วงเวลาที่อะไรๆ ก็ “เพื่อพ่อ” การได้เห็นซุ้มประดับประดาเรื่องราวเกี่ยวกับแม่ ช่างดูสวยแปลกตา ไม่เกล่อเกลื่อนซ้ำซาก ช่วยให้หายเลี่ยนเอียนขึ้นมาทันที
ผู้หญิงที่อุ้มเด็กข้างหน้าฉันเป็นที่รู้กันทั่วโลกคือพระแม่มารีย์กับพระเยซู ต่อให้ไม่รู้ภาษีภาษาก็พอเดาออกว่าเป็นแม่กำลังอุ้มลูกด้วยความรักไม่ใช่แม่กำลังเอาเด็กไปทิ้งถังขยะอย่างที่เป็นข่าวตามหน้าหนังสือพิมพ์ของเดือนเดียวกัน
“ อนาถ! พบศพทารกในถังขยะ คาดแม่ใจร้าย คลอดเองก่อนเอามาทิ้ง ” โดยตำรวจ “คาดว่าแม่เด็กน่าจะทำคลอดมาเองจากที่อื่นแล้วมาทิ้งศพเด็กไว้”
นั่นน่ะสิ... มีแต่แม่ใจร้ายใจยักษ์ใจมาร อำมหิตเท่านั้นแหละที่ทิ้งลูกในถังขยะ แม่จิตใจดีงามเขาไม่ทำกับเด็กน้อยตาดำๆ แบบนี้หรอก มันเป็นธรรมชาติของผู้หญิงอยู่แล้วที่จะมี ”ความเป็นแม่” แม่ที่ฆ่าลูกมันต้อง วิปริตผิดธรรมชาติแน่ๆ ใจคอถึงได้โหดเหี้ยมฆ่าได้กระทั่งลูกของมันเอง ขนาดหมามันเป็นสัตว์เดรัจฉานมันยังรักลูกตัวเองเลย อย่าให้รู้เชียวนะว่าใคร กูจะเอาหินปาให้ คงมีเสียงในใจคนหลายคนสะท้อนดังออกมาหลังจากอ่านข่าวและคงดังมากพอที่จะกลบเสียงในใจใครหลายคนที่ตั้งคำถามว่าที่เด็กมันตายห่าไปเนี่ยะ พ่อมันหายหัวไปไหน พ่อมันเองหรือเปล่าที่เป็นคนเอาลูกมาทิ้ง
เป็นที่รู้กันสากลว่าผู้หญิงสามารถตั้งท้อง คลอดลูก ให้น้ำนมได้ เป็นเพราะอวัยวะร่างกายที่ผู้หญิงมี ตามธรรมชาติซึ่งแตกต่างจากผู้ชายที่ขาดพร่องอวัยวะดังกล่าว ด้วยเหตุนี้การเลี้ยงดูลูกจึงถูกมองว่าเป็นเรื่องธรรมชาติของผู้หญิงไปโดยปริยาย
ร่างกายของผู้หญิงจึงผูกติดกับ “ความเป็นแม่” เห็นได้จากที่เรามักเรียกหน้าอกของผู้หญิงว่า “นม” “เต้านม” เพื่อให้ภาพถึงอวัยวะที่มีน้ำนมให้ดื่มกิน รวมไปถึงการเรียกอวัยวะเพศหญิงที่ใช้คำว่า “ช่องคลอด” เพื่อแสดงภาพของร่างกายผู้หญิงที่ทำหน้าที่คลอดบุตร และคำว่า “มดลูก” ที่หมายถึงพื้นที่ที่เด็กทารกจะเจริญเติบโตในครรภ์ ซึ่งคำว่า “มด” มีความหมายลักษณะเดียวกับคำว่า “หมอ” ซึ่งมักใช้คู่กันว่า “หมอมด” มดลูกจึงหมายถึงการดูแลรักษาลูกในอีกความหมายหนึ่ง จะพบว่าการสร้างคำเพื่อนิยามอวัยวะแสดงเพศของผู้หญิงทั้งหน้าอก และอวัยวะเพศสะท้อนให้เห็นถึงร่างกาย เพศสรีระโดยธรรมชาติของผู้หญิงที่ถูกโยงสภาพของการให้กำเนิดเลี้ยงดูลูกทำให้มโนทัศน์ของผู้ใช้ภาษาเกี่ยวกับเพศหญิงถูกขังอยู่ในกรอบของการเป็นแม่มากกว่าจะมองผู้หญิงในแง่มุมอื่น ซึ่งตรงกันข้ามกับเพศชายการนิยาม “เพศสรีระ อวัยวะแสดงเพศ” ไม่มีนัยยะถึงการเป็นพ่อเลี้ยงดูลูก มีแต่เพียงนัยยะความยิ่งใหญ่อย่าง “เจ้าโลกหรือมังกร”
ในยุคก่อนประวัติศาสตร์ ว่ากันว่าการมีลูกของผู้หญิงนั้นถูกยกย่องว่าเป็นอำนาจของผู้หญิง เป็นสภาวะศักดิ์สิทธิ์ที่มีเฉพาะผู้หญิงที่สามารถสืบพันธุ์ ( reproduction ) ให้กับมนุษยชาติได้ สามารถผลิตทรัพยากรที่สำคัญได้ เด็กที่เกิดมาถือว่าเป็นสมบัติของผู้หญิง ผู้หญิงจึงมีความสำคัญอย่างมากในสังคมทั้งพื้นที่สาธารณะ ถึงขนาดเป็นหัวหน้าชนเผ่า เป็นบูชารินีผู้เชื่อมต่อกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ มีบทบาทมากในด้านเศรษฐกิจและสังคม แต่เมื่อสภาพสังคมเปลี่ยนไป พวกผู้ชายเริ่มมีความรู้ความเข้าใจว่าเด็กที่เกิดมาไม่ได้เกิดมาจากอำนาจศักดิ์สิทธิ์ของผู้หญิง หากแต่เกิดมาจากการกระทำของตนร่วมด้วย รวมทั้งผู้ชายที่ออกไปล่าสัตว์หาอาหารเริ่มรู้จักการสะสมอาหารทำให้มีบทบาทมากขึ้น เริ่มครอบครองทรัพย์สมบัติรวมไปถึงผู้หญิงและลูก ตัวตนของผู้หญิงในฐานะแม่มีคุณค่าน้อยลง ด้วยวาทกรรมที่ว่าการสืบพันธุ์เป็นความสามารถของผู้ชาย ลูกที่เกิดออกมาจึงเป็นทรัพย์สินของผู้ชาย กลายเป็นสถาบันครอบครัวที่แม่และลูกขึ้นตรงต่อพ่อและสถาบันครอบครัวนี้เองได้พยายามสร้างตัวตนของผู้หญิงคือเป็นเพียงแม่และเมีย ภายใต้การบังคับบัญชาของผู้ชายที่มีบทบาทบนพื้นที่สาธารณะมาก
ยิ่งในสังคมทุนนิยม บทบาทแม่ที่ต้องเลี้ยงลูกเปรียบอะไรไม่ได้เลยเมื่อเทียบคุณค่าของงานผู้ชายที่ต้องเลี้ยงดูครอบครัว เพราะแม่ไม่ใช่แหล่งผลิตทางเศรษฐกิจเหมือนแต่ก่อน เป็นเพียงการผลิตในความหมายเชิงสัญลักษณ์ เช่น ความอบอุ่น ความรัก งานของแม่ในบ้านจึงไม่ใช่งานเพราะไม่ได้เงิน จึงดูด้อยค่าและด้อยเกียรติ ผิดกับงานของผู้ชาย
และก็สังคมทุนนิยมนี่แหละที่ชอบขีดเส้นพื้นที่ส่วนตัวแยกจากพื้นที่สาธารณะ การทำหน้าที่แม่จึงทำให้ผู้หญิงตัดขาดจากโลกภายนอกมากขึ้น เมื่อหน้าอกหน้าใจผู้หญิงเป็นเรื่องส่วนตัวต้องสงวน ปกปิด แม่ที่ต้องควักเต้าให้ลูกดูดนมจึงไม่มีที่ใดเหมาะไปกว่าที่บ้าน
การใช้นามสกุลมีขึ้นเพื่อเน้นย้ำถึงหน้าที่สืบพันธุ์เป็นของเพศชายไม่ใช่เพศหญิง ลูกชายที่เกิดมาจะเป็นผู้สืบสายตระกูลผู้ชาย แต่ถ้าได้ลูกสาวพ่อแม่บางคู่ถึงกลับกังวลว่าจะไม่มีใครสืบสายตระกูลได้ แม้ว่าปัจจุบันจะไม่มีการบังคับให้ผู้หญิงที่แต่งงานเปลี่ยนไปใช้นามสกุลสามี อย่างไรก็ดีสังคมก็มองว่าเป็นการสืบสายตระกูลแค่ตัวอักษรเท่านั้น และเพื่อเป็นการรับประกันว่าลูกที่เกิดออกมานั้นเป็นสายพันธุ์ผู้ชายจริงๆ ผู้หญิงจึงมีกฎเหล็กที่ต้องรักษาพรหมจรรย์
แม้ว่าบทบาทแม่จะด้อยค่ากว่าพ่อเยอะ แต่บางสังคมก็เชื่อว่าการเป็นแม่คือหน้าที่ของมนุษย์ที่เกิดมาเป็นผู้หญิง ในไบเบิ้ลกล่าวว่า ผู้หญิงทุกคนเกิดมาเพื่อเป็นแม่ เพื่อคลอดลูก เลี้ยงดูลูก ฉะนั้นการที่ผู้หญิงไม่เลี้ยงดูลูก รวมไปถึงผู้หญิงไม่มีลูกหรือมีลูกไม่ได้จึงไม่ใช่ผู้หญิงที่สมบูรณ์ แปลกประหลาด ไม่ยอมใช้ร่างกายให้เป็นประโยชน์ตามที่พระเจ้าได้สรรสร้างขึ้นมา รูปพระแม่มารีย์ยิ่งเป็นการผลิตซ้ำถึงความคิดที่ว่าผู้หญิงควรมีลูก เลี้ยงดูฟูมฟักลูกประหนึ่งแม่พระที่เลี้ยงดูพระบุตรของพระบิดา บางสังคมพยายามอุ้มชูว่าการได้เป็นแม่คนเป็นสิ่งประเสริฐ สร้างบุญคุณกุศลใหญ่หลวง
คิดๆ ไปแล้ว ศาสนาพุทธก็ไม่ค่อยปรากฏวาทกรรมเกี่ยวกับแม่ชัดเจนมากเท่าศาสนาคริสต์ ไม่รู้เป็นเพราะพระพุทธเจ้ากำพร้าแม่แต่เด็กเลยขาดสำนึกเรื่องแม่หรือฉันไม่ศึกษาให้ละเอียดกันแน่
รูปปั้นพระแม่มารีย์อุ้มพระบุตรแห่งพระเจ้า เป็น “Reproduction” อย่างหนึ่งในสังคม ไม่ใช่ ”reproduction” ที่หมายถึง “การสืบพันธุ์ ” แต่หมายถึง “การผลิตซ้ำ ” ผลิตซ้ำวาทกรรมที่ผู้หญิงต้องเป็นแม่คน ต้องเลี้ยงลูก ดูแลไม่ไกลห่าง ซึ่งทำให้แม่ห่างไกลพื้นที่สาธารณะออกไปทุกที แม้ว่าผู้หญิงเป็นคนตั้งท้อง คลอด และเลี้ยงดู ทว่าลูกที่เกิดมาก็ไม่ใช่ของผู้หญิงแต่เป็นทรัพย์สมบัติของผู้ชาย เหมือนกับที่พระเยซูเป็นพระบุตรของพระบิดา นางมารีย์เป็นแค่ทางส่งผ่านอำนาจพระบิดาเท่านั้น
คำว่า “reproduction” ที่หมายถึง “ การสืบพันธุ์ ” จึงเน้นความหมายไปที่เพศชายมากกว่าเพศหญิง เพราะการสืบสายพันธุ์วงศ์ตระกูลไม่ให้สูญหาย ไม่ให้เชื้อยีนส์ของปู่ทวดสูญหายไป ไม่ให้นามสกุลของโคตรเหง้ามันถูกลบเลือนไปจากสำมะโนครัวประชากร
ในเมื่อสังคมให้พ่อเป็นหัวหน้าครอบครัว เป็นเจ้าของการผลิต เป็นผู้สืบเผ่าพันธุ์ เป็นคนต้องเลี้ยงดูครอบครัวในขณะที่แม่ถูกบีบให้อยู่แต่ในบ้าน การที่เห็นศพเด็กในถังขยะหรือลอยอืดในคลองหลังบ้าน เราควรลงโทษใครดี
...แม่ที่ไม่ใช่เจ้าของลูก หรือ พ่อที่เป็นเจ้าของลูกแต่ไม่รู้จักการเลี้ยงดูลูกเลยแม้แต่น้อย...

เรื่องเศร้าๆต้อนรับปี 2008


ฉันตื่นมารับแสงรุ่งอรุณด้วยความรู้สึกแน่นขมับเพราะถูกบีบด้วยฤทธิ์แอลกอฮอร์เมื่อคืน แล้วก็รู้ข่าวว่า มีบุคคลดังตาย ทำให้สื่อโทรทัศน์ต้องหยุดสื่อสิ่งบันเทิงชั่วขณะ และรวมไปถึงลดระดับความสดของสีเพื่อไว้อาลัย รวมไปถึงสถานเริงรมย์ที่ต้องปิดชะวักอย่างกะทันหัน


ในเมื่อความบันเทิงที่สามารถเสพได้ในบ้านมันหายไป ฉันก็ไปขวนขวายข้างนอก แต่กลับไม่มีเพราะโดนสั่งให้ปิดหมด....ดอกทอง


ฉันอยากรู้ว่า พนักงาน บริกร ในผับ เจ้าของร้าน หุ้นส่วน เด็กขายดอกไม้หน้าตามอมแมม และผู้ที่เกี่ยวข้องอีกมากมาย จะต้องสูญรายได้ที่ควรได้อย่างมากมาย หน่วยงานสถาบันหรือคนที่มันออกกฏนี้มันรับผิดชอบไหม หรือว่าสักแต่ว่าเหมารวมให้เศร้าโดยไม่คำนึงคุณค่าของคนและสิทธิความสุขที่พึงมี


ความสนุกสนานบันเทิงของสังคมไทย ไม่ด้อยู่ที่ปรารถนาของเราเอง แต่ต้องอยู่ภายใต้ความต้องการของรัฐสอพลอเจ้า

ฉันจึงขอไว้อาลัยให้กับสื่อบันเทิงโทรทัศน์ สถานเริงรมย์ รวมไปถึงสิทธิมนุษยชนที่คนไทยไม่เคยมี