วันจันทร์ที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2551

ใครว่า “ เปรม ” เป็นตุ๊ด


ด้วยความสัตย์จริง ขอสารภาพ ณ ตรงนี้ในฐานะยัปปี้คนหนึ่งเลยว่า ฉันไม่ได้มี active citizen และไม่มีความรู้อะไรเกี่ยวกับการเมืองเรื่องรัฐเอาสะเลย จะรู้จักและแอบชื่นชมในความแกร่งของ เบเนอร์ซี บุตโต ก็เมื่อตอนเธอตายไปแล้ว แต่ไม่รู้ว่าตอนเธอบริหารปากีสถานก็คอรัปชั่นเหมือนกัน ไม่ได้ใส่ใจสักนิดว่าวีรชนคนเดือนตุลาที่ตายไปมี 1 ศพอย่างที่ใครสักคนพูดเป็นตุเป็นตะ หรือมากกว่านั้น อันที่จริงก็ไม่ไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่า 14 ตุลา กับ 6 ตุลาต่างกันอย่างไร


เพราะมันไม่ได้ช่วยให้ผิวใต้วงแขนขาวขึ้น ทำให้การหิ้วโน้ตบุ๊กไปจีบกาแฟที่ เจ-อเวนิว มันสะดวกกว่าเดิม รังมีแต่จะทำให้เครียดแค้น เจ็บปวด หดหู่ มีผู้แทนราษฎรแต่ไม่เคยทำอะไรแทนราษฎรสักอย่าง
รู้แค่ว่ามีหน้าที่เคารพกฎหมายและข้อบังคับของรัฐและมีหน้าที่เลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย ( หรือตามพิธีกรรมก็ไม่รู้ เพราะสมัยฮิตเลอร์ก็มีการเลือกตั้ง รวมไปถึงพม่าเองก็มีการเลือกตั้งเหมือนกัน )


ฉันไม่ได้เป็นพลเมืองแต่เป็นเพียงไพร่ฟ้า ( ที่ห่วงแต่ ) หน้าใสกับปากท้องมากกว่าที่จะห่วงว่า ใครจะเป็น ” นอมินี ” ให้ใคร หรือจะบริหารแบบ ” แดกไปเห่าไป ”

เช่นเดียวกับรัฐบาลที่มองพลเมืองเป็นไพร่ของมูลนาย นายกรัฐมนตรีที่มากับรถถังจะไปห่วงอะไรกับประชาชนนั่งรถเมล์ นายกรัฐมนตรีที่เป็น “ ม้าทรง ” ก็ย่อมต้องฟัง “ องค์ ” มากกว่าเสียงพลเมืองเป็นเรื่องธรรมดา

รัฐธรรมนูญฉบับม้าร่างจะเอื้ออำนาจเฉพาะเจ้าของคอกและม้าด้วยกัน หรือ จ๊อกกี้คนใหม่จะอวยยศคืนให้ม้าตัวใด ก็ไม่ได้สร้างความรำคาญใจเท่ากับการถูกโทรตามจิกให้ไปเป็นสมาชิกฟิตเนส หรือการปิดผับตอนตี 2

เมื่อคณะปฏิรูปหรือปฏิกูลอะไรสักอย่างถือกำเนิดอย่างเป็นทางการในคืนที่ 19 กันยา ซึ่งรัฐประหารครั้งนี้ดูเหมือนว่าคนที่ชื่อ “เปรม” ผู้เสมือนขึ้นหิ้งของแวดวงการเมืองการทหารจะถูกดึงมาพูดถึงมากขึ้นจากเดิม ทั้งฝ่ายรักแม้วและไม่รัก

ก็น่าอยู่หรอก เพราะคืนนั้นประธานองคมนตรีผู้นี้เป็นผู้นำหัวหน้าคณะรัฐประหารเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฯ ซึ่งไม่เคยปรากฏมาก่อนในการรัฐประหาร 10 ครั้งก่อนหน้านี้ในประวัติศาสตร์ ( นับตั้งแต่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 1 เมษายน 2476 เมื่อพระยามโนปกรณ์นิติธาดา ปิดสภาผู้แทนราษฎร ตั้งคณะคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ และประกาศงดใช้รัฐธรรมนูญบางมาตรา )

แม้ผบ.ทบ.ผู้นำการรัฐประหารจะอ้างว่า พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ อยู่ในวังตั้งแต่เย็นแล้ว แต่สายข่าวก็ได้รายงานว่า พล.อ.เปรม ได้กลับเข้าบ้านสี่เสา ฯ แล้วก็ออกมาอีกครั้งหนึ่ง

อีกทั้งผู้ที่นิ่งเฉยจนได้ฉายา " เตมีย์ใบ้ " อย่างพล.อ.เปรม ก็หลุดปากเปรยว่า “ สุรยุทธ์ดีที่สุด ” แถมยังเคยเปรียบกับ มิสเตอร์ วินส์ตัน เชอร์ชิล อดีตนายกรัฐมนตรีของอังกฤษอีกด้วย

ด้วยเหตุนี้ “ ป๋า ” จึงถูกดึงลงมาจากหอคอยงาช้าง เหมือนกับ “ ป้า ” ที่ถูกดึงลงมาจากคานทอง ย่อมเป็นที่สนุกปากของคนทั่วไปโดยเฉพาะฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลทหาร

โดยเฉพาะบนสังเวียนการเมืองที่เต็มไปด้วยฉากหน้าและเบื้องหลังจึงดารดาษไปด้วยเรื่องเล่าข่าวลือที่แพร่สะพัดมากมายพอๆกับสรรพนามและนามสมมุติที่เกลื่อนกลาดตามหนังสือข่าวการเมือง ไม่ว่าจะเป็น " ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ" “ มือที่มองไม่เห็น ” “ ขันทีเฒ่า ” รวมไปถึง “ อีแอบหัวขาว ”

จนข่าวการเมืองราวกับข่าวซุบซิบดารา ประเภท นาย “ป” ชอบหานายทหารสีม่วงมาควงทวาร แถมให้เงินดารานักร้องหนุ่มเปิดผับย่านอาร์ซีเอ แต่เจ๊งไม่เป็นท่า ให้เอาไปขบคิดกันเอาเองว่า คนที่ว่านั้นเป็นใคร

… มิน่าล่ะ ทำไมดาราบางคนถึงลงมาเล่นการเมือง...

ซึ่งสมกับฐานะที่เป็น “ คนของประชาชน ” และสมกับเป็นเรื่องของการเมืองการปกครองที่กอปรไปด้วยกิจกรรมทั้งที่ลับและที่แจ้ง ดังนั้นเรื่องลับๆและแจ้งๆรวมไปถึงเรื่องในมุ้งตู้ตั่งเตียงจึงถือว่าเป็นเรื่องระดับมหภาคด้วยเช่นกัน

ซึ่งเรื่องลับๆหลังม่านลอดมุ้งอย่างเพศวิถี ( Sexuality ) ก็กลายมาเป็นอีกวิถีหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับการเมือง โดยเฉพาะสำหรับการตั้งป้อมโจมตีผู้ที่ขัดผลประโยชน์

การออกมาแฉหรือการสร้างจินตนาการว่าฝ่ายตรงข้ามร่วมเพศกับเพศเดียวกัน ก็ดูเหมือนว่าเป็นอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ดีในการสร้างความชอบธรรมว่าตนดีกว่า พอๆกับรถถังและปืนกลที่อ้างความชอบธรรมให้กับความชอบทำและจินตนาการว่า ถ้าไม่รัฐประหารคืนนั้นก็จะเกิดความรุนแรงและการนองเลือด

แม้ว่าการรัฐประหารจะเป็นความรุนแรงอีกรูปแบบหนึ่ง เพียงแต่ว่า เป็นความรุนแรงที่ “ ราบรื่นดุจแพรไหม ”
จะเป็นอาวุธดีหรือไม่ดีอย่างน้อยก็เป็นภาพสะท้อนที่ดีว่า นักการเมืองและทหารที่ดี จึงต้องมีคุณสมบัติ “ ความเป็นชาย ” หรืออย่างน้อยที่สุด ก็ต้องไม่ร่วมเพศกับผู้ชายด้วยกัน


เพราะโลกทางการเมืองเป็นโลกของเพศสภาพชาย ซึ่งแม้แต่ผู้หญิงเองก็ต้องตอนเพศภาพตนเอง ให้มีความแข็งแกร่ง เด็ดเดี่ยว เฉียบขาดอย่างผู้ชาย “ ควรจะเป็น ” ตามจินตนาการของชุมชนการเมือง

ผู้ที่เกี่ยวข้องกับแวดวงนักการเมืองหรือทหารตำรวจ ( ไม่ว่าต่อหน้าหรือลับหลัง ) ถ้าไม่ ” เก็กชง ” หรือ “ แอ๊บแมน ” หรือไม่มี ” ความเป็นชาย” ตามอุดมคติ ก็จะถูกโจมตีในฐานะบ่อนทำลายเสถียรภาพทางการเมือง ซึ่งแม้แต่ฝ่ายที่ประกาศตนเป็นฝ่ายตรงข้ามกับ “ ป๋า ” เองอย่าง จักรภพ เพ็ญแข กับ มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ ก็คงเข้าใจเรื่องนี้ได้ดี ว่ามันเป็นโลกที่ผู้ช๊ายผู้ชายเพียงไหน

แม้แต่ผู้หญิงที่เข้ามาสู่พื้นที่การเมือง ถ้าพวกหล่อนไม่พ่วงเพศ ” หญิง ” ทิ้งท้ายอาชีพ ก็จะไม่รู้ว่าเป็นเพศหญิงหากพูดคำว่า “ นักการเมือง ” ลอยๆ

เพราะปริมณฑลทางการเมืองคือปริมณฑลของผู้ชาย หรือน้อยที่สุดก็สวมหัวโขนเป็นตัวละครเพศชาย ไม่ว่าตามความเป็นจริงจะมีเพศสภาพอะไรก็ตาม เพราะในฐานะ ” คนของประชาชน ” ที่ประหนึ่งตัวแทนของประชาชน มันต้อง ” แมน ” เพื่อให้ดูสง่าน่าเชื่อถือ เพราะเพศสภาพที่ “ ไม่แมน ” มักถูกโยงกับความไม่มีเหตุผล โลเลไม่มั่นคง มีอารมณ์รุนแรง ชอบด่าทอกระแหนะกระแหน มารยาสาไถ ตลบตะแลง

ราวกับว่าการแฉเบื้องลึกเบื้องหลัง เรื่องซุบซิบ และการล้มโต๊ะการเมืองเป็นเรื่องของการใช้ตรรกะเหตุผล การไม่ใช้ความรุนแรง และเป็นอาวุธของผู้ชาย

และทำเหมือนกับว่า เกย์ไม่ใช่พลเมืองของประเทศ ไม่ได้จ่ายภาษีให้อาหารรัฐ ทั้งๆที่เกย์หลายคู่อยู่กินฉันท์สามีภรรยาแต่ต้องจ่ายภาษีเต็มอัตรา เพราะไม่ใช่คู่สมรส

การดูแคลนและใช้สิทธิเสรีภาพในการร่วมเพศของแต่ละปัจเจกชนในประเทศที่อ้างว่าเป็นเสรีนิยม มาเป็นเครื่องมือโจมตีผู้อื่นต่างหากที่เป็นความตลบตะแลง รุนแรง สกปรกและขี้แพ้ชวนล้มโต๊ะยิ่งกว่ารัฐประหาร 19 กันยาเสียอีก

ไม่น่าแปลกใจเลยที่ไม่ค่อยมีใครสนใจเรื่องการเมืองการปกครอง เพราะเบื้องต้นที่สุดมันได้กีดกันความหลากหลายทางเพศที่เหลืออันมีอยู่ค่อนประเทศ และอนุญาตให้เพศชาย ” บริสุทธิ์ ” ใส่สูท ใส่ชุดซาฟารี ผ้าไหมแข็งๆ ไม่เจาะหู ไม่กัดสีผม เท่านั้นที่จะสามารถดำรงอยู่ได้โดยไม่ถูกติฉินนินทา แม้ว่าจะเคยฆ่าใครมาก่อน หรืออยู่พรรคพวกใครมาก่อน แต่กลับเป็นสิ่งที่ทุกคนยอมรับและยอมลืมกันได้มากกว่า ใครเคยเอาตูดใครหรือเคยถูกใครเอาตูดมาก่อน

... คุณสมบัติของนักการเมือง กลับเป็นเรื่องใครเป็นเกย์หรือไม่เกย์ แทนเรื่องใครโกงหรือไม่โกง ใครมีจริยธรรมความสามารถหรือไม่มี ...

พลเมืองจึงรับรู้ว่านักการเมืองเป็นอะไรมากกว่า พวกเขาพวกหล่อน เคยทำคุณงามความดีอย่างไรหรือทำระยำตำบอนฝากไว้ที่ไหนให้บ้านเมืองบ้าง แม้แต่นักการเมือง ( ที่มักต้องพ่วงท้ายคำว่า )หญิง ( เสมอ ) เรามักรับรู้เรื่องลือว่า หล่อนไปนอนกะใครเป็นเมียน้อยให้ใครมากกว่าหล่อนเรียนจบด้านไหนมา ถนัดเรื่องอะไรบ้าง

ข่าวการเมืองที่ไพร่ยัปปี้จะรับรู้ก็เลยไม่ต่างอะไรไปจากข่าวgozzipดารานักแสดงที่นิยมเสพทุกคืนวัน
จะต่างกันตรงที่ ดารานักแสดงเขามีเสื้อผ้าหน้าผมการพูดจำนรรจา เหมือนชาวบ้านชาวช่องมากกว่า มีอัตลักษณ์ทางเพศมากกว่า เข้าถึงได้ง่ายกว่า และ ” เล่นละคร ” เป็นเวลามากกว่า ซึ่งทั้งนี้ก็เพื่อentertainประชาชน หากแต่ที่เป็นนักการเมือง แม้จะอ้างว่าเป็นคนของประชาชน แต่กลับ “ เล่นละคร ” ตลอดเวลาเพื่อ entertain ตนเองและพวก


วันนี้ฉันหยิบหนังสือพิมพ์ในร้านกาแฟย่านสีลม มานั่งอ่านเล่นฆ่าเวลาระหว่างรอเพื่อนมาพบปะหลังเลิกงาน เห็นตัวหนังสือสีดำขนาดเขื่องแผ่หลาบนหนังสือพิมพ์หน้าหนึ่งว่า

“ เปรมไม่ได้เป็นตุ๊ด ” ….เพราะว่า ทาทา คอนเฟิร์มเองค่ะ...

วันจันทร์ที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2551

ศัลยกรรม


ทุกครั้งที่ฉันไปตามห้างสรรพสินค้า สัปดาห์ละ 2 – 3 ครั้ง มือฉันจะพะลุงพะลังไปด้วยถุง ช๊อปปิ้งสารพัดยี่ห้อ ถ้าเอาปากคาบได้ก็คงคาบไปนานแล้ว แลดูไฮโซ มือเปิด กระเฌอก้นรั้ว กระชังหน้าใหญ่ เงินถุงเงินถังช๊อปอะไรทั้งวี่วัน
ความจริงฉันทำงานต่างหากล่ะย่ะ ตั้งแต่เรียนจบมหาวิทยาลัยแถวหน้าของประเทศโลกที่ 3 ฉันก็มาทำงานเป็นสไตลิสต์ให้กับนิตยสารเล่มหนึ่งและแอบทำฟรีแลนซ์ให้กับรายการทีวี เพื่อแลกกับเงินจำนวนไม่กี่พัน อาชีพนี้ฟังดูโก้เก๋ แต่เหนื่อยเป็นบ้า เกิดเสื้อผ้า สร้อย รองเท้าเสือกเจ๊งขึ้นมา ฉันก็โดนเฉ่งปี๋ไม่มีใครจ่ายให้หรอก แล้วที่เด็ดสุด เกิดมาท้องพ่อท้องแม่ฉันยังไม่เคยใส่ร้องเท้าให้เลย แต่ดารา นางแบบ พวกหล่อนเป็นใครยะ

ชิส์...แต่ฉันก็ทำ…

เหมือนเวรกรรมจะมีจริง เมื่อฉันต้องหาเสื้อผ้าถ่ายแบบให้กับนายแบบหล่อเหลา สูงล่ำ ถ่ายโฆษณาเอ็มวีเพลงฮิตๆ แม้จะไม่ดังมากแต่ก็ดังพอที่ไม่สมควรขึ้นรถเมล์ทั้งๆที่ยังไม่มีรถขับ ผิดกับสมัยตอนเรียนมัธยม ที่ตัวผอมบักโกรก ขี้โรค และขี้แย และมักถูกฉันคอยกลั่นแกล้งไถเงินเป็นประจำตอนสมัยเรียนมัธยมร่วมกัน

ต๊าย...ดูตอนนี้สิ

ฉันเอนท์ติดเรียนจบมหาวิทยาลัยชื่อดังกว่า เรียนเก่งกว่า เสียอย่างเดียวหน้าตาแย่กว่า เลยได้งานที่รายได้น้อยไม่เท่าแก แถมต้องทำงานเหนื่อยกว่าตั้งร้อยเท่าพันทวี

คิดๆแล้วรู้สึกว่ามีเปลวอัคคีในตาร้อนผ่าวลุกโชนขึ้นมาทันที

ฉันต้องทำศัลยกรรมแล้วสิ อย่างน้อยที่สุดก็ทั้งหน้า เฮ้อ..ได้แต่ถอดหายใจ เงินเดือนแค่นี้มันจะไปทำไรได้วะ ก็ใครบ้างล่ะไม่อยากสวย ก็เห็นๆอยู่ว่าสวยแล้วมันทำอะไรได้มากมายกว่าคนไม่ขี้ริ้วขี้เหร่ตั้งหลายอย่าง ต่อของก็ได้ราคาถูกกว่า เวลาไปเที่ยวก็มีคนมาเลี้ยงเหล้าให้ เผลอๆเกิดโมเดลลิ่งมาคว้าตัวไป ได้เป็นดารานางแบบได้หนุ่มไฮโซเป็นแฟน มีเสี่ยมาเลี้ยง พอมีรายได้เป็นกอบเป็นกำก็หากิจการร้านอาหาร ทำสปา ผับบาร์ก็ว่าไป ไม่ต้องเรียนหามรุ่งหามค่ำ เพื่อให้ติดมหาวิทยาลัยดีๆ ได้เกียรตินิยม ปริญญาหลายใบเพื่อสร้างคุณค่าให้กับตนเอง

แถมโอกาสก็มากกว่า คนไหนหล่อๆหน่อย ไปทำระยำตำบอน ก็ดู bad boy ดี เท่ห์เป็นบ้า ต่อให้โง่ดักดานแค่ไหน ถ้าหน้าสวย ก็ดูแอ๊บแบ๊ว ไร้เดียงสาหน้าหยิกหยอก

ฉันไม่ได้เกิดจากพ่อพันธุ์แม่พันธุ์หน้าตาดีที่มีโครโมโซมหล่อๆยีนสวยๆ สักหน่อย ในเมื่อเลือกเกิดไม่ได้ แต่ฉันก็เลือกสวยได้ ด้วยศัลยกรรม

ถ้าฉันสวยฉันจะมีความสุขมากกว่าเดิม การทำศัลยกรรมจึงเป็นแสวงหาและกำหนดความสุขด้วยตัวเอง
ไม่ต้องมารอให้ใครกำหนดให้ แค่ตอบสนองความปรารถนาตนเอง จะเรียกๆให้เก๋ๆก็คือฉันมี
self-determination

การไปทำศัลยกรรม ชะลอความแก่ ลดความความอ้วน จึงไม่ใช่ความไม่รู้จักพอดีหรือไม่ “ พอเพียง ” ซึ่งมันไม่ได้เข้ากับบริบทชนชั้นกลาง และเป็นการสร้างเสถียรภาพให้ชนชั้นสูงมากกว่า

เดี๋ยวนี้คนไปทำศัลยกรรมกันมากขึ้นเพราะคนสมัยนี้คนสามารถค้นหาความปรารถนาของตนเอง ฉันค้นหาความสุขด้วยตนเอง

ต่างจากคนสมัยก่อนที่กำหนดความสุขเองไม่เป็น คอยแต่พร่ำบ่นสวดมนต์เพื่อให้ผีฟ้าเทวดาประทานความสุขความต้องการ เพราะเชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างพระเจ้ากำหนด ไม่ก็กรรมแต่ชาติปางก่อนลิขิต ชาติที่แล้วไม่ทำบุญด้วยดอกไม้ ชาตินี้เลยไม่สวย เป็นเพราะเทพเจ้าเธอปั้นจากดินเหนียวแบบชุ่ยๆเธอเลยไม่สวยหน้าตาพิกลพิการ

ความสุขในสมัยโบราณ คือสิ่งที่พระเจ้าประทานให้หรือกรรมบันดาล เราจะสร้างขึ้นมาเองไม่ได้ ความสุขสมัยก่อนจึงเป็นเรื่องไกลตัว ยิ่งสังคมจารีตที่ผูกพันกับศาสนายิ่งแทบหาความสุขไม่ได้ เพราะเกิดมาก็เป็นทุกขังแล้ว ไม่ก็เกิดมาก็มาบาปติดตัวเพราะทวด” อดัม ” กับทวด “ เอวา ”ดันไปขัดคำสั่งพระเจ้า ลูกหลานเลยมี original sin ติดมากับดีเอ็นเอ

หากแต่การสนองตามความต้องการและเสวงหาความสุขจึงเป็นเรื่องที่เราสามารถสรรหาได้เองในสมัยใหม่ แม้แต่คำถามที่ว่า “ โตขึ้นหนูอยากเป็นอะไร ” ก็เพิ่งเกิดขึ้นไม่กี่ 10 ปีมานี่เอง

คนสมัยก่อนไม่ได้ไปทำศัลยกรรม ไม่ใช่เพราะมันไม่มีที่ให้ทำอย่างเดียว แต่เป็นการกระทำนอกเหนือจากลิขิตของพระผู้เป็นเจ้าหรือกรรม

หลังจากที่ไตร่ตรองมาเนิ่นนาน ผ่านกระบวนการระดมสมองความคิดเห็นจากคนรู้จัก สัมภาษณ์เชิงเจาะลึกกับผู้เคยผ่านการทำศัลยกรรม ฉันจับแท็กซี่ไปโรงพยาบาลด้วยความมุ่งมั่นที่ข่มความหวาดกลัวในใจ

ฉันบรรจงบอกกับหมออย่างละเอียดว่า ช่วยยกหางตาที่มันตกๆขึ้น แล้วก็เอาถุงใต้ตาใหญ่ๆออกให้หน่อย แล้วทำจมูกให้โด่งเป็นสัน อ้อ...เก็บปีกจมูกด้วยเพราะจมูกหนูบาน แล้วก็ช่วยฉีดปากให้เจ่อๆหน่อยนะ เซ็กซี่ดี คางน่ะเหลาให้ด้วยนะ แล้วก็บลาๆ... ฉันสั่งศัลยแพทย์เหมือนสั่งอาหารร้านหน้าปากซอย

หมอเพ่งมาที่หน้าฉันเหมือนไม่รู้ว่าจะเริ่มทำส่วนไหนก่อนดี ก่อนที่จะขยับแว่นและยิ้มมุมปากก่อนพูดว่า
“ ผมว่าอย่างคุณคงต้องเริ่มที่คอ ด้วยการตัดทิ้งไปเลยดีที่สุด ”

วันอาทิตย์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2551

ชัยชนะของผู้หญิง


เดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ฉันไปอยู่สกลนครสักพักใหญ่ๆหลังจากไปไหว้ศพ จิตร ภูมิศักดิ์ ในวันที่ 5 พฤษภา วันที่นักปราชญ์นักปฏิวัติผู้นี้โดนยิงตายอย่างอำมหิต และเป็นช่วงที่ฉันต้องการหนีความเจ็บปวดของชีวิตรักไปเลียแผลใจที่ไกลๆจากโลกที่ฉันเคยอยู่


“ ผู้ชายมันก็เลวแบบนี้ทุกคน ” ฉันตะโกนในใจ “ คิดว่าตัวเองเจ๋งกว่ารึไง อะไรๆก็ตัวเองตัดสินใจดีกว่า เป็นผู้นำกว่า... พอกันที ”


ฉันกะจะบวชชีที่สกลแม่งเลย ไหนๆทางโลกย์มันก็ไปไม่รอดละ เอาทางธรรมเผื่อมันจะรอดบ้าง แต่คิดไปคิดมา การบวชชีเพราะหนีรักนี่มันเหมือนหนีเสือปะจระเข้มากกว่า ฉันถูกผู้ชายกดขี่มาตลอดชีวิตรัก พอเลิกกันแทนที่จะเป็นอิสระ ดันหนีไปบวชชี ไปรับใช้พระสงฆ์อีก ยิ่งประเทศนี้กีดกันการบวชภิกษุณีด้วย ฉันเป็นชายขอบสังคมโลกียะมาทั้งชีวิตแล้ว จะหนีไปเป็นชายขอบสังคมโลกุตระอีกทำไมให้แย่กว่าเดิม ว่าแล้วฉันไปวัดทำบุญให้พระดีกว่า ทำบุญให้พวกผู้ชายบ้างก็ดี ไอ้เพศนี้จะได้ไม่ต้องมาจองเวรกับฉันอีก


ฉันจึงได้ไปวัดแถวนั้น ชื่อวัดพระธาตุนารายณ์เจงเวง ที่น่าจะเป็น landmark ของที่นี่คือ ปราสาทหินที่เด่นตระหง่านกลางวัดพุทธ ดูจากงานแกะสลักไม่บอกก็รู้ว่าเป็นศาสนาฮินดูหากแต่เข้ารีตเป็นพุทธเรียบร้อยโรงเรียนสงฆ์ไปเสียแล้ว

พระที่นั่นเล่าให้ฟังว่า ปราสาทนี้มีชื่อว่า “ อรดีมายานารายณ์เจงเวง ” เพราะถูกสร้างขึ้นโดยผู้หญิง และเสร็จลุล่วงด้วยมารยาของพวกผู้หญิง

เรื่องราวคล้ายๆกับปราสาทพนมวันที่โคราชอยู่เหมือนกันว่า เมื่อตอนที่พระพุทธเจ้าปรินิพานใหม่ๆ พระมหากัสสปะพร้อมพระสงฆ์ 500 รูป ได้ออกเดินทางเพื่อนำกระดูกส่วนหน้าอกไปประดิษฐานที่ดอยภูกำพร้ากลางลำน้ำโขง ซึ่งต้องผ่านเมืองหนองหาน หรือ จังหวัดสกลนครในปัจจุบัน ชาวเมืองหนองหานคิดจะขอแบ่งชิ้นส่วนกระดูกมาประดิษฐานที่เมืองตนเองบ้าง เรื่องของสถานที่บรรจุกระดูกกลับเป็นเรื่องที่คิดไม่ตกว่าจะสร้างอุโมงค์ค์ที่ไหนเพื่อรองรับกระดูก เพราะความเห็นแบ่งออกเป็น 2 ฝ่าย ฝ่ายชาย กับ ฝ่ายหญิง

พระยาสุวรรณภิงคาร เจ้าเมือง เป็นผู้นำฝ่ายชายที่อยากสร้างอุโมงค์ที่ดอยคูหา ซึ่งเป็นแท่นบัลลังค์ที่พระพุทธเจ้าเคยบรรทมครั้งเมื่อเสด็จมาหนองหาน

ฝ่ายหญิงนำด้วย พระนางนารายณ์เจงเวง มเหสีพระยาสุวรรณภิงคาร ที่ต้องการสร้างอุโมงค์ไว้ที่สวนอุทยานเจงเวง ทั้ง2ฝ่ายจึงท้าทายแข่งกันก่ออุโมงค์คอยขบวนพระสงฆ์ผ่านเพื่อขอแบ่งกระดูก โดยกำหนด 1 วัน 1 คืน ตั้งแต่เช้ามืดจนถึงดาวเพ็ก ( ดาวประกายพรึก )ขึ้นของวันถัดมา

กล่าวกันว่า บรรดาหนุ่มๆต่างมาช่วยผู้หญิงสร้างเพราะอยากใกล้ชิดผู้หญิง อีกทั้งพระนางได้ส่งผู้หญิงจำนวนหนึ่งไปยั่วยวนผู้ชายให้หยุดก่อสร้างมาชื่นชมนาง

หลังจากนั้นพระนางสั่งให้บ่าวเอาโคมไฟผูกกับเสาสูงเพื่อให้เกิดแสงสว่างโดยทั่ว ฝ่ายผู้ชายเห็นแสงไฟนึกว่าดาวประกายพรึกออกแล้วจึงหยุดก่อสร้างที่ก่อได้เพียงขื่อ แต่บ้างก็ว่าเป็นเพราะความจงใจของพระนางที่ต้องการหลอกพวกผู้ชายว่าใกล้ถึงรุ่งเช้าแล้ว สรุปว่าผู้หญิงสร้างเสร็จสมบูรณ์ตามเวลาที่กำหนดขณะที่ผู้ชายทำไม่ได้ เมื่อขบวนสงฆ์ผ่านเมืองหนองหาน ชาวเมืองจึงได้ขอแบ่งกระดูก แต่พระมหากัสสปะไม่อนุญาตเพราะว่า พระพุทธเจ้าประสงค์ให้นำไปไว้ที่ดอยภูกำพร้า จึงให้พระอรหันต์กลับไปที่เอาถ่านไฟกับพระอังคารมา 3 ทะนาน

พระยังบอกอีกว่า ที่ชื่อนารายณ์ เพราะ ชายหญิงต่างมีมือ 2 ข้างเท่ากันทำอะไรย่อมสู้กันได้ มีแต่พระนารายณ์ที่มีมือมากกว่า2ข้าง ที่มีพละกำลังมากกว่า …ต๊าย ! เข้าใจคิด

ฉันเดินไปดูรอบๆ เห็นทับหลังมีรูปผู้หญิงดูสูงศักดิ์สลักอยู่ในซุ้มด้วย แต่ก็บอกไม่ได้ว่า พระนางนารายณ์เจงเวงหรือเปล่า คนที่ไม่รู้ประวัติศาสตร์ศิลป์รวมไปถึงรากเหง้าตนเองอย่างฉันจะไปบอกอะไรได้ว่าคือรูปใคร

แต่ดูๆไปแล้วคนสร้างคงไม่จงใจไว้เก็บอะไรเกี่ยวกับพุทธศาสนาเท่าไรหรอก เพราะน่าจะเป็นศาสนสถานทางฮินดู เพียงถูกจับบวชห่มผ้าเหลืองเสียให้เข้ากับบริบทรอบข้างมากกว่า

นารายณ์เจงเวง น่าจะแปลว่า พระนารายณ์ขายาวในภาษาเขมร เพราะ “เจง” แปลว่ายาว “เวง” เปลว่า ตีนหรือขา ปราสาทนี้จึงน่าจะถูกสร้างเพื่อระลึกถึงปกรณัมตอนหนึ่งที่พระนารายณ์อวตารมาก้าวย่าง 3 ก้าว เหยียบไปถึง 3 โลก คือ โลกบาดาล โลกมนุษย์ โลกสวรรค์ เพื่อปราบอสูรเมื่อ

เมื่อพุทธศาสนาเข้ามา เทวสถานจึงถูกดัดแปลงให้เป็นพุทธสถานด้วย “ เรื่องเล่า ” ซึ่งเห็นได้ทั่วไปตามโบราณสถาน

เหมือนที่คั้งหนึ่งศาสนาฮินดูเข้ามาในพื้นที่นี้แล้วก็ทำให้ศาสนาดั้งเดิมที่ผู้หญิงเป็นเจ้า ถูกปลุกปล้ำทำเมียกลายเป็นมเหสีรับใช้เทวดาฮินดู อย่างเรื่องเล่าที่นางนาค “ โสมา ” กายนางเปลือยเปล่ามีแต่ทางมะพร้าวห่มร่าง เป็นเจ้าปกครองอุษาคเนย์ เมื่อรบแพ้พราหมณ์โกณฑิยยะจากชมพูทวีป นางจึงตกเป็นเมียพราหมณ์และได้รับเสื้อผ้าจากสามี
นึกถึงแล้วก็เหมือนพระธาตุนารายณ์เจงเวงที่เขาเอาจีวรมาพันรอบปราสาทไม่มีผิด

แต่อย่างน้อยในนิทานเรื่องนี้ ผู้หญิงก็ชนะผู้ชายอยู่บ้าง แม้จะเป็นชัยชนะเพื่อศาสนาผู้ชาย ( ศาสนาพุทธ ) ก็ตาม ซึ่งชนะได้เพราะมีเสน่ห์ จริตมารยาและปัญญาเป็นศาตรา ก็ในเมื่อผู้ชายเชื่อว่ามีร่างกายใหญ่โต พละกำลัง ความแข็งแกร่งมากมาย สามารถประกาศอำนาจความเป็นชายด้วยความรุนแรง ความหยาบกักขฬะความดิบเถื่อนอันเป็นอาวุธประจำเพศ ผู้หญิงจึงใช้ร่างกายตนเองในการประกาศอำนาจบ้างจึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เพราะไม่รู้จะเอาอะไรไปต่อกรกับผู้ชายอกสามศอกนอกจากคุณสมบัติที่ถูกยัดเยียดให้มี

เรื่องนี้พระพยายามสอนให้ฉันรู้ว่าสตรีมีมารยาสาไถเป็นภัยต่อบุรุษ แต่ไม่ยักสะท้อนให้เห็นถึงความฉลาดน้อยของบุรุษที่ยังจะไม่รู้จักมีมารยาสาไถ ก็เป็นภัยให้ตัวเองเช่นกัน

คุณูปการของโต๊ะอาหาร

ท่ามกลางเสียงอื้ออึงดังระงมของอึ่งอ่างในสวนหน้าบ้านยามค่ำคืนหลังสายฝน ลมเย็นชื้นโชยผ่านยังปลายเท้าฉันอย่างแผ่วเบา ขณะที่กำลังก้มๆเงยๆนั่งเขียนบทความอยู่ตามลำพัง ใต้โคมไฟที่ยังคงไสวเพียงดวงเดียวกลางดึก ช่วยให้รอบกายแลดูมืดขึ้นมาถนัด แสงสีนวลตาสาดตรงมายังกลางโต๊ะไม้วงรีขนาดใหญ่ที่พะเนินไปด้วยหนังสือ พจนานุกรม กระจัดกระจายด้วยเอกสาร ยางลบ ดินสอ กระดาษ ไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา ก่อนที่ทุกคนจะหลับใหลกันหมด มันเป็นโต๊ะที่อวลฟุ้งด้วยกลิ่นของน้ำพริก กรุ่นไออุ่นข้าวเพิ่งสุกใหม่ ละลานตาด้วยกับแกงหลากสีหลายรส และอึงมี่นี่นันด้วยเสียงของพ่อแม่ลูก ประชันเสียงฝนที่โยนตัวปะทะพื้นคอนกรีต


ทุกๆมื้อเย็น พ่อแม่และพี่ชายฉันจะมารวมตัวกันยังโต๊ะอาหารอย่างพร้อมเพรียง ทุกคนต่างหอบเรื่องราวนอกบ้านที่ผ่านมาทั้งวันมาเล่าสู่กันฟัง แลกเปลี่ยน นินทา บางทีก็หยิบมาเป็นประเด็นทะเลาะถกเถียงกัน บางครั้งคราวที่จะไม่ค่อยได้พูดคุยกันระหว่างมื้อเพราะยกสำรับมากินหน้าโทรทัศน์กัน แต่โต๊ะอาหารก็ไม่เคยว่างเว้นจากกลิ่นข้าวสวย คราบกรังของน้ำพริกน้ำแกง รอยน้ำเป็นวงกลมจากก้นแก้ว และเสียงพูดคุย ฉันจึงได้ทำความรู้จัก นิสัยใจคอเพื่อนแม่ ลูกน้องพ่อ เจ้านายพี่ ใครต่อใครมากมาย ไปจนถึงสภาพสังคม การเมือง จราจร สถานที่ต่างๆ และเรียนรู้หลักการวางตัวเพื่อไม่ให้เป็นขี้ปากให้นินทาบนโต๊ะอาหารของคนอื่น


โต๊ะอาหารของฉันจึงเป็นโรงเรียนเล็กๆที่สอนวิชา สร้างเสริมประสบการณ์ชีวิตและสร้างเสริมลักษณะนิสัย


สำหรับเรื่องกินแล้ว ครอบครัวฉันถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ ฉันว่าครอบครัวคนอื่นก็คงเหมือนกัน เพราะถึงวันอาทิตย์ วันหยุดราชการทีไร ตามห้างสรรพสินค้าเนืองแน่นไปด้วยพ่อแม่จูงลูกอุ้มหลานยืนต่อคิวหน้าร้านอาหาร ที่บ้านฉันก็เช่นกันยิ่งพอเป็นวันเกิดใคร ครบรอบอะไร หรือฉลองเนื่องในโอกาสใด ก็มักป้วนเปี้ยนอยู่แต่เรื่องกินดื่มทั้งนั้น ไม่ยกโขยงไปกินข้าวนอกบ้านก็ซื้ออะไรอร่อยๆที่ไม่ได้กินกันบ่อยเข้ามากินในบ้าน แต่ไม่เคยฉลองอะไรด้วยการไดหญ้า ขัดส้วม ล้างรถ ตีปิงปอง หรือ ร่วมฟังเสวนาวอชาการตามมหาวิทยาลัย แต่เรื่องกินกลับเป็นเรื่องอันดับต้นๆของสมาชิกในครอบครัวที่นึกถึง เวลาต้องการสร้างความทรงจำร่วมกัน หรือ เพื่อบอกถึงระบบความสัมพันธ์ที่ดำรงอยู่


เวลากลับบ้านต่างจังหวัดญาติฉันก็จะมานั่งกินข้าวล้อมสำรับอาหารที่ปูบนกระดาษหนังสือพิมพ์กันเป็นวงกลม ต่างคนถือจานข้าวของตัวเอง จึงไม่มีใครอยู่หัวหรือท้าย ทั้งหัวหงอกหัวดำหัวโล้น ไปจนถึงหัวแกละหัวจุกนั่งรวมกันไปหมด


...การกินจึงกลายเป็นกลไกสร้างเสถียรภาพให้กับสถาบันครอบครัวโดยบัดดล...


ฉันท่องจำมาตลอดตั้งแต่ชั้นประถมแล้วว่าคำว่าครอบครัว ในภาษาอังกฤษคือ family คำๆนี้เริ่มใช้ในช่วงจักรวรรดิโรมัน ซึ่งเป็นคำเดียวกับคำที่มาจากคำละตินที่แปลว่า ทาสจำนวนมากมายที่อยู่ใต้การดูแลของผู้ชายเพียงคนเดียว Familia ซึ่งเป็นคำเรียกกลุ่มสังคมแบบใหม่ในสมัยโรมันที่ ผู้ชายเป็นจ่าฝูง แล้วมีเมียและลูกรวมไปถึงทาส อยู่ใต้การบังคับบัญชา


สถาบันครอบครัวเป็นรูปแบบความสัมพันธ์ที่มีพ่อแม่ลูก ซึ่งเกิดขึ้นมาในสมัยโรมันที่ผู้ชายมีอำนาจมากกว่าผู้หญิงหลังจากที่ผู้ชายรู้ว่าการที่เอาจู๋ไปจิ้มจิ๋มนั้นก่อให้เกิดสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์ ผู้ชายจึงเข้าครอบครองผู้หญิงให้เป็นสมบัติของตนเชียวเดียวกับเด็กที่เกิดออกมา เพราะถือว่าเป็นปัจจัยการผลิตที่สำคัญในการดำรงชีพ


บรื๋ออส์!!! สถาบันfamily น่ากลัวจริงๆ


แม้จะมีบางคนหัวใสพยายามสร้างความหมายใหม่ให้กับ family โดยบอกว่าเป็นอักษรย่อจาก ประโยค Father And Mother, I Love You. อุแม้เจ้า ! ฟังดูแล้วอบอุ่น กรุ่นไอรัก พร้อมหน้าพร้อมตา ชวนให้อยากมีครอบครัวตามไปด้วย แต่มันก็เป็นเพียงค่านิยมของสังคมเมือง มีนัยยะครอบครัวเดียว และปราศจากการนิยาม ตัวตนของเด็กกำพร้าพ่อ พ่อหม้ายลูกติด คุณแม่ยังโสด คู่ผัวตัวเมียที่ใครสักคนเป็นหมัน รวมไปจนถึงคู่รักเพศเดียวกัน ฉันเดาว่าคนคิดคงได้รับอิทธิพลหลังการเกิด องค์กร NATO OPEC AFTA UN มาแล้ว จนสถาบัน family มีที่มาคล้ายๆ OTOP พิกล


แต่สำหรับภาษาไทยแล้ว คำว่าครอบครัว ดูเหมือนว่าจะพิสมัยแต่เรื่องอาหารการกินเป็นพิเศษ แม้แต่คำว่า “ครอบครัว” “ครัวเรือน” ก็วนเวียนไปมาในห้องครัว การประกอบอาหาร


ทุกมื้อเย็นที่เราประจำที่โต๊ะกับข้าว ภาพที่ฉันเห็นจนชินตาคือพ่อจะเป็นผู้นั่งเก้าอี้หัวโต๊ะเสมอ ส่วนเก้าอี้ที่เหลือแม่ พี่และฉันเลือกนั่งกันเองแล้วแต่สะดวก คล้ายกับเป็นวัฒนธรรมย่อยๆในครอบครัวที่ยึดถือกันมาตั้งแต่ฉันจำความได้ มีอยู่วันหนึ่ง สมัยเรียนประถม 3 – 4 เห็นจะได้ ฉันลองไปนั่งที่หัวโต๊ะดูบ้าง อยากรู้จังว่าถ้ามองจากมุมนั้นอาหารมันจะน่ากินสักแค่ไหน แต่ไม่ทันได้กินอะไร ก็โดนแม่ไล่ให้ไปนั่งเก้าอี้อื่นเสียก่อน ด้วยเหตุผลที่ว่าพ่อเป็นหัวหน้าครอบครัว เป็นเสาหลักหาเลี้ยงสมาชิกในครอบครัวมีกินมีดื่มได้ทุกวันนี้ ควรนั่งหัวโต๊ะ หลังจากนั้นทุกครั้งที่ทานข้าวร่วมกัน ฉันจึงไม่คิดที่จะนั่งหัวโต๊ะอาหารอีกเลย ปล่อยให้เก้าอี้หัวโต๊ะกับข้าวนั้นเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ประจำตำแหน่งผู้นำครอบครัวไป


มิน่าล่ะ การกินจึงมีความสำคัญต่อสถาบันครอบครัว เพราะมันจะค่อยๆสร้างสำนึกของสมาชิกในสังคมละนิดทีละมื้อ ให้สำเหนียกฐานะของตนบนสังคมชนชั้นและระบบอาวุโสนิยมอันเป็นโครงสร้างของสังคม


ตามบันทึกของชาวฝรั่งเศสที่เข้ามาในสมัยแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์มหาราชได้กล่าวถึงวัฒนธรรมการกินของชาวสยามไว้ว่า โดยปรกติหัวหน้าครอบครัวคนที่เป็นพ่อหรือผัวจะกินก่อนเพียงลำพัง พออิ่มแล้วเมียจะเข้ามานั่งกิน หลังจากกินเสร็จพวกลูกๆ10-15 คน จะตามมากินทีหลัง หลังจากนั้นบ่าวไพร่จะเก็บส่วนที่เหลือไปกิน ซึ่งน่าจะเป็นสังคมของผู้ดีมีฐานะมีลูกมากและทาสรับใช้ไว้ปกครอง


แต่สภาพสังคมที่เปลี่ยนไปเช่นเดียวกับวัฒนธรรมการเป็นอยู่ ยิ่งในสังคมเมืองที่ต้องเร่งรีบ ใช้ชีวิตภายใต้อิทธิพลวัฒนธรรมตะวันตก ลำดับก่อนหลังในการกินที่เรียงตามอาวุโสจึงเป็นวัฒนธรรมที่ไม่เข้ากับบริบทสังคมเมือง


เมื่ออิทธิพลสมัยใหม่นิยมจากตะวันตกเข้ามา สังคมเมืองเริ่มเป็นครอบครัวเดียวกันมากขึ้น มีระบบกฎหมายเป็นผัวเดียวเมียเดียว ยิ่งไม่ได้มีพื้นฐานการผลิตแบบเกษตรกรรม ลูกหลานก็ไม่มากอย่างในอดีต การรู้จักมักคุ้นกับญาติผู้ใหญ่น้อยลง พบปะกันน้อยครั้ง สำหรับครอบครัวฉันปีละครั้งเห็นจะได้ หากมากกว่านั้นก็ จะเจอในงานศพ หรือ งานแต่ง มากกว่า


ความเข้มข้นของระบบอาวุโสนิยมและอำนาจของหัวหน้าครอบครัว จึงเข้มข้นไม่เท่ากับสังคมชนบท เพราะวัฒนธรรมตะวันตกเข้ามาแทนที่


แต่ฉันเห็นว่าไม่น่ากังวลอะไร เพราะตะวันตกก็ยังมีโต๊ะอาหารและวัฒนธรรมการนั่งหัวโต๊ะ ที่เป็นเครื่องมือรักษาความมั่นคงให้กับระบบความสัมพันธ์เชิงอำนาจของหน่วยเล็กของสังคมโดยเฉพาะสังคมเมือง ให้สมาชิกในสังคมยอมรับถึงความแตกต่างของคุณค่าความเป็นคน เพื่อเตรียมพร้อมที่จะขับเคลื่อน ความไม่เท่าเทียมกันของมนุษย์ การใช้อำนาจ บนสังคมกระฎุมพีสืบไป

วันพฤหัสบดีที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2551

กรุงเทพ ... city of angel


วันก่อนฉันเปิดโทรทัศน์ดูฆ่าเวลาเห็นโฆษณาผลิตภัณฑ์บำรุงเส้นผม หญิงสาวต่างจังหวัด 2นางในทุ่งทานตะวัน ระริกระรื่นแกมริษยาเพื่อนสาวตนเองที่อยู่ดีๆก็มีหนุ่มกรุงเทพมาของถ่ายรูป เพียงเพราะผมสวยดึงดูดตาหนุ่มเมืองหลวง ซึ่งเจ้าของผมสลวยหันไปให้เหตุผลกับเพื่อนที่ตาร้อนผ่าวว่า “ใช้ทุกครั้งหลังสระ” ชวนให้นึกถึงโฆษณาผลิตภัณฑ์ประทินหนังหน้ายี่ห้อหนึ่งที่ทำให้ “ หน้าขาว เหมือนสาวกรุงเทพ ” ซึ่งตอนนี้เปลี่ยนคอนเซปต์เป็น หน้าขาวแล้วได้พบรักแท้ ที่เนรมิตให้นางเอกโฆษณาอาชีพแม่ค้าขายดอกไม้หน้าดำเป็นเหนี่ยง ให้หน้าขาวใสขึ้นภายใน 7 วันมิผัดผ่อน จนแฟนเก่า( ว่าที่ผัวชาวบ้าน ) กลับมารักดังเดิม
ฉันได้แต่พลอยยินดีปรีดาไปกับเจ้าหล่อน อยู่หน้าโทรทัศน์ ไม่ว่าจะเป็นเด็กบ้านนอกใช้ทุกครั้งหลังสระ แม่เจ้าสาวถ่านไฟเก่า รวมไปถึงยัยต่างจังหวัดหน้ากากกทม. ที่ต่างพยายามยกระดับตนเองได้ด้วยสีผิวและเส้นผม
ฉันรู้สึกมุทิตาไปกับพวกเธอโดยเฉพาะสาวต่างจังหวัด 2 นาง ที่ชักจะเริ่มเข้าถึง ” ความเป็นกรุงเทพ ” ทุกที โดยไม่ต้องพึ่งภูมิลำเนา หรือ การย้ายถิ่นฐาน อย่างน้อยก็ทำให้คนในละแวกเดียวกันเข้าใจผิดว่าเธอเป็นคนกรุงเทพ
เพราะ คนกรุงเทพ และ เสมือนคนกรุงเทพ มันช่างน่าพิสมัยหอมหวนชวนให้ใครต่างก็อยากได้และอยากเป็นกันนัก เหมือนที่ครอบครัวฉันย้ายสำมโนครัว ตามกลิ่นท่อไอเสียและลำคลองดำปี๋มาถึงถึงที่นี่
กรุงเทพเปรียบเสมือนดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของคนต่างจังหวัด เสมือนดินแดนแห่งพันธะสัญญาของชาวยิว ประหนึ่งเมกกะของมุสลิม จะไม่ให้ศักดิ์สิทธิ์ได้ไงล่ะ แค่ชื่อว่ากรุงเทพก็บอกแล้วว่าเป็นที่สถิตของเทวดานางฟ้า ไม่ใช่เมืองที่ผีเปรตเจตภูตที่ไหน เมืองอื่นจังหวัดอื่นจึงมีความหมายเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อนให้ผีป่านางไม้สิงสู่กันไป ( alienatization / demonization )
พูดถึงกรุงเทพ มักนึกถึงเมืองฟ้าแดนอมรที่ขวักไขว่ไปด้วยเทวดานางฟ้าชนชั้นกลางหน้านวลๆ มีพิมานคอนโดก็สูงเสียบฟ้า ทำงานในออฟฟิศ ทำงานเช้าเลิกงานเย็น จะเอาเวลาไหนไปโดนแดด ไวเทนนิ่งก็หาซื้อง่ายกว่า อำนาจการซื้อก็มากกว่า โอกาสขาวจึงมากกว่าคนต่างจังหวัดที่ต้องทำไร่ไถนาเลี้ยงหมูดูหมาอยู่ต่างจังหวัด โดยไม่ต้องสงสัย
ยังจำได้เลยว่าวันที่ป้าแก่ๆข้างบ้านเข้ามาทักฉันตอนกลับบ้านต่างจังหวัดว่าผิวฉันขาวสวยดี สงสัยวันๆอยู่แต่ในห้องแอร์ ไม่โดนแดดผิวเลยขาว ผิดกับป้าที่นับวันผิวยิ่งจะเข้มกว่าพื้นดินที่ป้าใช้ปลูกข้าวเสียอีก ฟังดูออกจะเป็นตรรกะที่พิลึกสักหน่อยแต่มันก็เป็นความจริง
เพราะพื้นฐานการผลิตที่แตกต่างกันไม่เพียงจะทำให้คนเราแตกต่างกันเรื่องชนชั้น แต่ยังทำให้เรามีสีผิวคนคนละเฉดกัน
หลายคนพยายามบอกว่า ที่คนไทยอยากขาวเป็นเพราะผลจากแนวคิด modernism และอิทธิพลของจักรวรรดินิยม ทำให้คนไทยมองว่า คนตะวันตกมันช่างเจริญ ศิวิไลซ์ สวยงาม ไม่ว่าจะเป็นความคิด ความรู้ วิถีชีวิต สิ่งก่อสร้าง รวมไปถึงสีผิว การที่คนอยากมีผิวขาว ถูกอธิบายว่าเป็นการล่าอาณานิคมทางวัฒนธรรมของชาวตะวันตก ที่ทำให้คนไทยอยากเป็นเหมือนฝรั่งมั่งค่า เป็นการครอบงำความคิดคนตะวันออกให้มีความคิดแบบตะวันตก
เอาเข้าจริง การแบ่งโลกออกเป็นตะวันออกกับตะวันตก ก็เป็นแนวคิดของชาวตะวันตกสร้างขึ้นมา เลยไม่รู้ว่าใครตามใครกันแน่
การครอบงำทางวัฒนธรรม ความคิด มันมีทุกที่ไม่ว่าจะในซีกโลกไหน หรือในรัฐไหนก็ตาม การที่ให้ผู้หญิงบ้านนอกหน้าขาวเหมือนคนกรุงเทพ ก็เป็นการครอบงำทางวัฒนธรรมและความคิดเหมือนกัน ซึ่งมันก็มีมานานแล้ว มีมานานเหมือนกับการปกครองแบบmonarchy
ในสมัยที่เกิดการปกครองแบบรวมอำนาจต่างๆกระจุกอยู่ที่กรุงเทพ สมมุติเทพในกรุงเทพพยายามให้สยามเป็นรัฐชาติสมัยใหม่ ( Nation-state ) ที่มีพระนครเป็นศูนย์กลางอำนาจ และเหตุประการฉะนี้สถานศึกษาอย่างโรงเรียนจึงเกิดขึ้นเพื่อกลืนกลายวัฒนธรรมท้องถิ่นให้เหมือนกับของกรุงเทพไปหมด ทั้งภาษา วัฒนธรรม ความคิด อุดมการณ์ เพื่อให้ง่ายต่อการปกครอง ไม่มีใครคิดต่างทำต่าง ไม่ก่อกบฏ หรือ ส่องสุมโค่นล้มอำนาจ ( ด้วยเหตุนี้แหละที่ผลักดันให้มีการเลิกทาสขึ้น คนทุกคนกลายเป็นประชาชนของรัฐ และจะได้ไม่มีใครกระด้างกระเดื่องส่องสุมกำลัง แรงงาน )
ไม่ใช่แค่ภาษา วัฒนธรรม อุดมการณ์ ความสวยความงามก็กลายเป็นสิ่งหนึ่งที่ต้องเปลี่ยนแปลงตามตามรสนิยมของศูนย์กลางทั้งเสื้อผ้าหน้าผม ตกเป็นภาระของสาวต่างจังหวัดที่ต้องผมสวยผิวขาวเหมือนไม่ได้หลังสู้ฟ้าหน้าสู่ดิน เพื่อเปลี่ยนผ่านชนชั้นทางสังคมและเป็นพลเมืองชั้นหนึ่งอย่างที่เทวดาใต้ร่มตึกคอนกรีตปรารถนา
ทั้งที่คนกรุงเทพก็เป็นคนต่างจังหวัดของคนในจังหวัดอื่นๆ แต่กลับไม่เคยเรียกผู้ชายกรุงเทพว่า “ หนุ่มต่างจังหวัด ” หนำซ้ำกลับเรียนตัวเองด้วยว่าคนต่างจังหวัดเสียอีก ความใช่คนกรุงและไม่ใช่จึงเป็นสำนึกที่เข้าทลายตัวตนของคนบนพื้นที่อื่นจนมองไม่เห็นจุดยืน เป็นสำนึกของตัวตนที่ถูกตีให้แตกกระจุยโดยสำนึกของศูนย์อำนาจ เหมือนที่คนต่างจังหวัดเป็นผู้ผลิตที่สำคัญทว่าไม่เคยได้ครอบครองการผลิตสักที เป็นการทำลายสำนึกเกี่ยวกับตนเองในการเป็นหนึ่งเดียวกับสังคมโดยรวม เหมือนประเทศอาณานิคมที่ถูกจักรวรรดินิยมตะวันตกแบ่งแยกและปกครอง
ในสายตาของคนกรุงเทพ คนต่างจังหวัดหน้าตาเหมือนกันไปหมด แถมใสซื่อบริสุทธิ์ไร้เดียงสาน่าเอ็นดูระคนสงสารทว่าไม่ปลอดภัยอยู่ในที ไม่ต่างไปจากสายตาของนักล่าอาณานิคมผิวขาวที่มองคนในประเทศในอาณัติ
แม้บางครั้งเกิดใจดีอยากอนุรักษ์ตัวตนและวัฒนธรรมท้องถิ่นไม่ให้สูญพันธุ์ จึงตบแต่งมันเสียใหม่ให้เป็นสินค้าดึงดูดนักท่องเที่ยวระดับชนชั้นกลางขึ้นไป ผู้ปรารถนาหนีออกจากความวุ่นวายในตัวเมืองและเหนื่อยหน่ายกับงานออฟฟิศที่จำเจ กลายเป็นวัฒนธรรมประดิษฐ์ที่ถูกจริตคนกรุงเทพอย่างที่สุด
วัฒนธรรมท้องถิ่นจึงถูกกลืนกลายโดยวัฒนธรรมกรุงเทพที่ประทานมาจากอมรเมืองฟ้าแล้วสถาปนาเป็นวัฒนธรรมประจำรัฐชาติใหม่ แม้แต่ภาษาไทยที่เราอ่านอยู่ที่ฉันเขียนอยู่มันก็เป็นภาษากรุงเทพไม่ใช่ภาษาท้องถิ่น เพราะฉะนั้นอย่าไปว่าใครเขาเลย ฉันเองก็ไปครอบงำวัฒนธรรมชาวบ้านเหมือนกัน

อยากสวย


ขณะที่นอนเอกเขนกบนพื้นไม้รับลมแผ่วๆทีแหวกม่านลูกไม้ให้ไหวกระพือเบาๆเข้ามาในห้อง หอบเอากลิ่นแดดยามบ่ายแก่ๆของวันอาทิตย์อันแสนขี้เกียจ ฉันค่อยๆเงี่ยหูฟังเสียงเพลงของ ฉันทนา กิติยาพันธ์ แว่วดังมาจากบ้านข้างๆพร้อมกลับสายลมอุ่น ตอนแรกนึกว่าเสียงของนกสาลิกาที่ไหน

...ไม่มีใครรักคนที่ไม่งาม รูปกายเราทรามไม่สวยเหมือนใคร…

รู้สึกจึ๊ดๆที่หัวใจชอบกลตั้งแต่ได้ยินเนื้อร้อง ฉันหันขวับไปมองตัวเองในกระจก นึกอัศจรรย์ใจที่ชาตินี้ครั้งหนึ่งเคยมีแฟนเป็นผู้เป็นคนกับเขาสักที สมควรอย่างยิ่งที่จะบรรจุฉันลงในสิ่งมหัศจรรย์ของโลกสมัยกลียุค หน้าตาแบบนี้ตอนแรกก็คิดว่าดูสวยมาตลอด แต่พอโตขึ้น ดูโทรทัศน์มากขึ้น อ่านนิตยสารมากขึ้น ออกไปพบปะกับผู้คนมากขึ้น ฉันจึงรู้ว่าตนเองไม่ได้สวยสละอย่างที่เข้าใจ ( ผิด ) เลยสักนิด


ฉันผละจากกระจกตัวร้ายหันไปคว้านิตยสารข้างกาย เปิดไปหน้าแฟชั่นเซทชุดว่ายน้ำ มองผ่านๆนึกว่าคอมพิวเตอร์กราฟฟิค ให้นางแบบคนเดียวกันมีหลายอากัปในฉากเดียวกัน ที่ไหนได้ในเซทนี้มีนางแบบประมาณ 7-8 นางเพียงแต่รูปร่างหน้าตาเหมือนกันไปหมดอย่างกะเฟรนชาย ดูเจ้าหล่อนแต่ละนางสิ ต่างก็มีดั้งเป็นสัน ผมไม่แตกปลาย ร่างระหง นมทะลัก ผิวขาวใส รักแร้เกลี้ยงเกลา ศอกเข่าไม่ด้านดำ ขาไม่ลาย พุงไม่แตกลายงา แถมตีนก็ไม่สาก

...ถูกคนสวยเยาะเราให้เจ็บใจ ผิดแปลกคนไปอย่างไรหรือเรา…

ชิส์... ทำไมฉันไม่สวยเหมือนนังพวกนี้บ้างนะ แม่จะแรดทั้งวันทั้งคืน นอนบ้านคนนั้นคนนี้ ไม่นอนอุตุอยู่บ้านตัวเองในวันหยุดอย่างนี้หรอก
แต่ใครบางล่ะไม่อยากสวย ( ถ้าไม่นับพวกที่สวยอยู่แล้ว ) แต่ในเมื่อความสวยถอดมาจากแท่นพิมพ์เดียวกันเป๊ะ แต่คนอยากสวยดันเกิดออกมาจากคนละแท่นพิมพ์ คนละท้องพ่อท้องแม่ โคตรพ่อโคตรแม่ใครหน้าตายังไงเราก็หน้าตายังงั้น คนสวยจึงเป็นเรื่องของโชคชะตา กรรมเวรไป เหมือนที่ยายฉันบอกว่า คนที่เกิดมาสวยเป็นเพราะชาติที่แล้วทำบุญด้วยดอกไม้ ถ้ามันเป็นอย่างนั้นได้จริง ชาตินี้ฉันคงต้องสร้างวนอุทยานถวายวัดสะแล้ว ชาติหน้าจะได้เกิดมาสวย แค่ดอกไม้คงไม่พอ


ในโฆษณาหลายต่อหลายชิ้นที่ฉันเห็น ผู้หญิงสวยอย่างที่เค้าว่ากันต่างมัดใจชายได้อยู่หมัด ด้วยมนต์สเน่ห์รักแร้เกลี้ยงเกลา หน้าขาวใสไร้สิว ผมสลวยจับประกายนีออนของหล่อน ทำเอาหนุ่มหล่อทั้งหลายหลงใหลได้ปลื้มมาคอยปรนนิบัติพัดวี ไม่ก็มาเล้าหลือ ยอมตกเป็นเบี้ยล่าง ช่างเป็นสภาวการณ์ที่บรรดาๆสาวเล็กสาวใหญ่ สาวครึ่งๆกลางๆ ซึ่งรวมถึงสาวไม่สวยอย่างฉัน ต้องการให้เสียเหลือเกิน

...ถูกชิงชังไม่สวยดั่งใครเขาซ้ำตัวเราถูกคนหยามเหยียด …


ความสวยพูดง่ายๆก็คืออำนาจดีๆนี่เอง ที่ใครๆต่างก็ไขว่คว้าให้ได้มันมาครอบครอง ใครบ้างล่ะไม่อยากให้ชายหนุ่มรูปงามมาตกต้องเสน่หา คอยพะเน้าพะนอ คลอเคลีย จะได้ไม่ต้องคอยซักผ้ารีดผ้า ทำกับข้าว ล้างแก้วล้างจานให้เหนื่อยกาย
เพราะลึกๆฉันแค่อยากจะมีผู้ชายมาคอยปรนนิบัติรับใช้ ( สักที ) ความสวยจึงกลายเป็นอำนาจบางอย่างที่ฉันอาจใช้ต่อรองให้บรรดาหนุ่มยอมทำตามความต้องการ


หากแต่รูปร่างหน้าตาของฉันมันไม่ใช่บ่อเกิดอำนาจเลยสักนิด ฉันไม่เข้าใจเลยว่าทำไม หางตาตกบนหน้าเขรอะๆ พุงโรตัวเตี้ยน่องทู่แบบฉันถึงเรียกว่าขี้เหร่ แล้วยัยแห้งผิวซีดในนิตยสารนั่นกลับเรียกว่าสวย
แต่อย่างไรก็ตาม“ ทำไมอย่างนั้นถึงเรียกว่าสวย ” ก็ไม่เคยมีใครเฉลยเหมือนกับ ” ทำอย่างไรถึงจะสวยเหมือนอย่างนั้น ” ซึ่งเป็นคำถามที่ดังกว่า
และพอดีใจร้อนอยากสวยชาตินี้ ฉันจึงกวาดซื้อ ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวประทินผม สถานเสริมความงาม อุตสาหกรรมของศัลยแพทย์ ยันไปถึงภูมิปัญญาท้องถิ่นที่ดังๆ มาถวายตัวเอง เพราะถ้ามัวแต่ซื้อดอกไม้ถวายวัด ลึกๆแล้วก็ไม่อาจมั่นใจว่าชาติหน้าจะได้เสวยชาติเป็นมนุษย์กับเขาไหม


แม้จะรู้แจ้งแก่ใจว่าทำไมถึงสวย แต่ใช่ว่าจะเข้าได้ถึง เพราะ La Mer Dior Lancôme SK-II Estée Lauder La Prairie อะไรต่อมิอะไร รวมไปถึง ยันฮี ทั้งราคาและส่วนผสมผิดกับนางพญาหน้าเงือกที่ฉันใช้อยู่ชัดๆ เห็นทีความสวยจึงไม่ใช่เรื่องของอำนาจเพียวๆ แต่มีเรื่องชนชั้น ฐานะทางเศรษฐกิจพ่วงมาด้วย ความสวยความงามจึงเป็นเรื่องของคนมีอันจะกิน และเป็นเรื่องไกลตัวของคนหาเช้ากินค่ำ ( อย่าพูดเลย ชนชั้นกลางทำงานงกๆอย่างฉันก็ไขว้คว้าไม่ถึงเหมือนกัน ) “ เพราะฉันรวย ฉันจึงสวย ” จึงเป็นคำตอบชุดใหม่ของปริศนาทำอย่างไรถึงจะสวยสมเหตุสมผลกว่าถวายดอกไม้

...ยิ่งคิดยิ่งให้เกลียด เกลียด เกลี๊ยด เกลียด เกลียด...

เพราะเพียงแค่ซิลิโคนเล็กเท่ายางลบราคานับหมื่น ที่เพื่อนสาวฉันให้หมอศัลยกรรมยัดใส่จมูก ก็สามารถถีบตัวเองออกจากบ้านเกิดภูมิลำเนาตนเองที่ความเจริญและวิทยาศาสตร์เข้าไม่ถึง เต็มไปด้วยผีปอบและความกันดาร แถมบอกฐานะทางเศรษฐกิจนัยๆ ถึงอำนาจในการจับจ่ายที่คนใช้แรงงานไม่มีเท่า


ชาติพันธุ์และฐานะจึงเกี่ยวข้องกับความสวยความงามอย่างดิ้นไม่หลุด โดยเฉพาะชาติพันธุ์นี่แหละที่กำหนดว่าว่ารูปร่างหน้าตาแบบไหนสวยหรือไม่ ยิ่งชาติไหนเจริญมากกว่า ว่ากันว่าเป็นชาติที่มีวิวัฒนาการมากกว่า ย่อมดูดีกว่าบางชาติที่กำลังพัฒนา


ความสวยก็เหมือนความดีและความถูกผิด มันมาเกิดก่อนเรา และถูกกำหนดมาแล้วว่าควรเป็นแบบใด หน้าแบบไหนหุ่นแบบไหนเรียกว่าสวย นิตยสารที่มลังเมลืองไปด้วยนางแบบเฉิดฉาย ภาพตัวแทนของมนุษย์ที่ควรจะเป็น เหมือนหนังสือธรรมะที่บอกว่าคนดีควรจะเป็นอย่างไร เป็นความดีงามของรูปร่างใบหน้าที่ถูกนิยามความหมายจากสื่อ จากความคาดหวังของสังคม ให้มนุษย์ใฝ่ฝันถึงเรือนร่างรูปกายในอุดมคติ เหมือนโลกพระศรีอาริยะในหนังสือพระ


บรรดานางแบบ ดารา พรีเซนเตอร์โฆษณา ที่ฉันบรรจงกรีดนิ้วทีละหน้าหนังสือ พวกหล่อนไม่เพียงแต่โชคดีที่เกิดมาสวย พวกหล่อนยังมีอันจะกิน พอที่จะประคบประหงมผิวพรรณหน้าตา
เพราะความสวยอันเป็นยอดปรารถนาของฉันไม่ได้เกิดขึ้นมาโดดๆ หากแต่ถูกประกอบสร้างขึ้นมาจากกระบวนการชาตินิยม อุดมการณ์ชนชั้นวรรณะและชาติพันธุ์

...เกลี๊ยด เกลียด เกลียด เกลียด เกลียด เกลียด...

นางแบบในหนังสือเธอได้ใส่เสื้อผ้าที่ฉันอยากให้มันอยู่ตู้เสื้อผ้าบ้านฉันบ้าง พวกเธอสวมรองเท้าที่ฉันอยากใส่เดินเวลาช๊อปปิ้ง พวกเธอสามารถทำในสิ่งที่ฉันอยากทำแต่ทำไม่ได้ พวกเธอจึงเป็นภาพตัวแทนจิตนาการความปรารถนาของฉันที่ไม่เคยได้รับการตอบสนอง พวกเธอจึงเป็นภาพตัวแทนของมนุษย์ที่ควรจะเป็น มีในสิ่งที่คนอื่นอยากมี ได้ในสิ่งที่คนอื่นอยากได้ พวกเธอเหมือนเข้ามาเติมเต็มในสิ่งที่ฉันขาดไป ไม่แปลกและไม่ดูดัดจริตเลยหากดารางนายแบบนางแบบจะบอกว่าตัวเองเป็นคนของประชาชน เหมือนผู้แทนราษฎร แต่ต่างกันตรงที่ผู้แทนราษฎรไม่เคยสนองสิ่งที่ราษฎรต้องการ

...ฉันแสนเกลียดชังคนสวยทุกคน...

เมียงู


คงเป็นเพราะอากาศที่นับวันยิ่งทวีความร้อนยิ่งขึ้น จึงมีข่าวพิลึกพิลั่นออกมาให้เห็นแทบทุกฉบับหนังสือพิมพ์ ครั้งล่าสุด หนุ่มชาวอุดรธานีแต่งงานกับงูเหลือมเพศเมียที่พบกันในหนองน้ำขณะออกหาปลา


เรื่องเอางูมาทำเมียที่ฮือฮาตามหน้าหนังสือพิมพ์ที่ผ่านมา ไม่ใช่เรื่องตลก พิลึกกึกกือ วิปริตวิตถาร ปัญญาอ่อนสมองไหล หากแต่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมาช้านาน และเป็นเรื่องระดับมหภาค เป็นเรื่องการเมืองการรัฐไม่ใช่เรื่องของชาวบ้านร้านตลาดไร้ความรู้อย่างที่กระฏุมภีมีการศึกษาแบบตะวันตกเข้าใจกัน


เพราะเรื่องคนจับงูมาทำเมียมีมาเนิ่นนานตั้งแต่สมัยยังมีอาณาจักรอโยธยา ซึ่งกษัตริย์ในตอนต้นกรุงศรีอยุธยานั้น มีพิธีกรรมอย่างหนึ่งคือ “ พระราชพิธีเบาะพก” ที่พระมหากษัตริย์ในเวลานั้นต้องไปบรรทมกับ “ แม่หยัวพระพี่เจ้า ” ในเดือนมืดคืนแรม ซึ่งพระราชพิธีนี้ก็เป็นวัฒนธรรมที่ได้รับอิทธิพลมาจากเขมร ที่กษัตริย์เขมรต้องไปบรรทมกับนางงู กลางดึก ณ ยอดของประสาททองคำ ที่สถิตของพระภูมิเจ้าที่แห่งนคร ซึ่งเป็นภูติงู 9 เศียร ตามบันทึกของโจวต้ากวานที่ฟังมาจากคำล่ำลือของชาวบ้านนครธม ขณะที่เขาเข้ามาพร้อมกับราชทูตแห่งราชวงศ์หงวนเมื่อ ค.ศ. 1295 – 1296 กล่าวว่าทุกคืนภูติงู 9 เศียรจะกลายร่างเป็นผู้หญิงแล้วสมสู่กับกษัตริย์ทุกคืนก่อนที่จะไปบรรทมกับมเหสี มิฉะนั้นจะเกิดอาเพศแก่บ้านเมือง


การที่กษัตริย์อโยธยาไปบรรทมกับแม่หยัวพระพี่เจ้า คงชะรอยตามกษัตริย์เขมรที่ไปบรรทมกับนางงูทุกคืน หากแต่พระราชพิธีเบาะพกไม่ได้ประกอบทุกคืนเหมือนอย่างราชพิธีเขมร


ทั้งนี้ก็เพื่อความอยู่รอดของบ้านเมือง เป็นพิธีกรรมเพื่อความอุดมสมบูรณ์ และความมั่นคงของราชอาณาจักรล้วนๆ


ซึ่งชาวอโยธยาก็ยังเชื่อว่า พระร่วงที่คนไทยรู้จักกันดี ก็เป็นลูกที่เกิดจากมนุษย์สมสู่กับงูเช่นกัน จากคำให้การของชาวกรุงเก่าเล่าว่า พระเจ้าจันทราชา ผู้สร้างเมืองสุโขทัย ได้ประพาสป่าพบหญิงสาวงามนางหนึ่งจึงหลงรักแล้วทั้งคู่ก็สมพาสกัน เมื่อพระองค์ขอให้นางกลับวังไปอยู่ร่วมกันนางได้ปฎิเสธเพราะนางเป็นนางนาค เกรงว่าจะสร้างความเดือดร้อนให้คนในวัง เพราะถ้านางโมโหจะพ่นพิษใส่ตามวิสัยงู นางจึงหนีไปอยู่เมืองบาดาล ครั้นนางนาคตั้งครรภ์และถึงกำหนดนางจึงมาตกฟองที่ไร้อ้อยของ2ตายาย 2 ตายายเห็นก็นึกประหลาดจึงเก็บรักษาเอาไว้ที่เรือน เมื่อฟองแตกออกเป็นกุมารหน้าตาน่าเอ็นดูจึงเลี้ยงไว้เป็นบุตรบุญธรรม จวบเมื่ออายุได้ 15 ปี หน้าตางดงาม มีวาจาสิทธิ์ อานุภาพมหาศาล จึงตั้งชื่อให้ว่า พระร่วง กิติสัพท์เลื่องลือไปถึงหูพระเจ้าจันทราชา เมื่อพระราชาจึงเรียกตายายทั้ง 2 ถามไถ่ประวัติของพระร่วงก็เชื่ออย่างสนิทใจว่าต้องเป็นโอรสของตนกับนางนาคเป็นแน่แท้ จึง รับพระร่วงมาอยู่ด้วยแล้วพระราชทานทรัพย์ให้ 2 ตายายอย่างมหาศาล


เรื่องคนได้งูเป็นเมียนั้นเป็นเพียงเรื่องเล่าลือของชาวบ้านทั้งชาวนครธมและชาวกรุงเก่าซึ่งอาจเป็นเพียงพิธีกรรมลึกลับอย่างหนึ่งของชาวเขมรเกี่ยวกับนาคาคติ หรือการสร้างความสัมพันธ์ระหว่างชุมชนหนึ่งกับอีกชุมชนหนึ่งที่บูชางูเป็น totem ซึ่งกระจายตัวอยู่ตามอุษาคเนย์ ซึ่งด้วยเหตุนี้ข่าวของของหนุ่มชาวอีสานจะได้รับความสนใจข้ามฝั่งโขงไปยังประเทศลาว


เพราะสุวรรณภูมิมีความเคารพกราบไหว้งูกับเจ้าแม่ดินมาเนิ่นนาน ก่อนที่สุวรรณภูมิเวอร์ชั่นเทพเจ้าผู้ชายกวนเกษียรสมุทรจะถือกำเนิดขึ้นเสียอีก


แต่ถึงอย่างไรการมีความสัมพันธ์ระหว่างคนกับนางงูก็เป็นการสร้างความชอบธรรมให้กับความยิ่งใหญ่และอำนาจของผู้ปกครองบ้านเมืองได้เป็นอย่างมีประสิทธิภาพ


แม้แต่ระบบการปกครองแบบรวมศูนย์อำนาจที่ดีดตัวเองและพยายามกลืนกลายระบบการปกครองท้องถิ่นที่มีมาแต่ดั้งเดิม ก็ยังให้เห็นความสัมพันธ์ของผู้ปกครองกับนาคได้เป็นอย่างดี เห็นได้จากสัญลักษณ์รูปครุฑของทางราชการที่รวมศูนย์ไว้ในเมืองหลวง ก็เหมือนจะสร้างความชอบธรรมเชิงสัญลักษณ์ ที่ให้ระบบศูนย์กลางจิกกินคนท้องถิ่นราวกับครุฑจับนาคกินตามอำเภอใจ


เพราะสังคมเมืองไม่ใช่สังคมนาคสังคมผี เพราะกรุงเทพชื่อก็บอกแล้วว่าไม่ใช่เมืองของผีหรืองู คนที่empowerด้วยนางนาค ไม่ว่าจะสมสู่หรือเกิดจากครรภ์ จึงเป็นอื่นต่อบ้านเมืองของผู้ที่เจริญแล้ว เมืองในปัจจุบันจึงไม่ใช่พื้นที่ของทั้งผีและงู แต่เป็นเมืองของพุทธ พราหมณ์ และผู้ชาย ด้วยเหตุนี้ จึงมีเรื่องเล่าชาวกรุงเทพที่ว่า ผีสาวชื่อ”นาค”ต้องถูกปราบและพรากจากผู้ชายด้วยอำนาจรัฐ ( ทิดมากต้องไปเป็นทหาร ) และอำนาจสงฆ์ ( โดนพระพุฒาจารย์ ( โต ) ปราบ )


การที่คนลุกขึ้นมาสมพาสกับงูนั้นดูจะเป็นเรื่องของอดีต แต่ก็ใช่ว่าจะหายจากไปพร้อมกับกาลเวลา เพราะยังมีให้เห็นในปัจจุบัน แต่ไม่ใช่เฉพาะจังหวัดอุดรธานี แต่มีทุกที่ที่มีผู้หญิง
เพราะผู้หญิงถูกเปรียบให้เหมือนงูมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว และการเรียกนางอันเป็นที่รักว่า “ แม่เนื้อเย็น ” ก็เป็นคำเรียกที่เกิดจากความเชื่อที่ว่าผู้หญิงตัวเย็น เงี่ยนไม่ได้ร้อนไม่เป็น กลายเป็นสัตว์เลือดเย็นเหมือนงู หรือเป็นมนุษย์ที่มีระบบความร้อนเผาผลาญไม่มาก จนอสุจิเป็นสีแดง ( ประจำเดือน ) ไม่ใช่สีขาวใสเหมือนผู้ชาย ดังที่นักปรัชญาตะวันตกเชื่อกันเมื่อ 400 - 300 กว่าปีก่อนคริสตกาล นอกจากนี้ผู้หญิงยังถูกมองว่า ไว้ใจไม่ได้เหมือนอสรพิษลิ้น2แฉก เลี้ยงไม่เชื่อง จะแว้งฉกกัดเมื่อไรไม่รู้


ไม่ว่าปีไหนพ.ศ.ไหนโลกจะร้อนมากขึ้นมากเพียงใด ผู้หญิงก็ยังตัวเย็นเป็นงูอยู่เหมือนเดิม อย่าเพิ่งไปว่าคุณพี่สามีนางงูที่ข้ามภพข้ามชาติข้ามสปีชี่มารักกันว่าแม่งบ้า เพราะผู้ชายส่วนใหญ่มันก็บ้าทั้งนั้น เห็นบอกว่าเมียตัวเองแม่ตัวเองเลือดเย็นแถมเลี้ยงไม่เชื่อง … แต่ก็รักนักรักหนา

วันพุธที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2551

เพศวิถีที่ถูกเซ็นเซอร์

แล้ว Brokeback Mountain ที่ฉันตั้งหน้าตั้งตารอก็มาฉายเสียที ขอขอบคุณเคเบิ้ลทีวี ที่ชะลอหนังโปรดจากโรงภาพยนตร์มาตั้งไว้ในห้องนอน แถมยังตั้งเวลาเตือนได้อีกด้วยว่ากำลังจะฉาย ฉันนับเวลาถอยหลังเฝ้าดูฝูงแกะ ทิวเขาเมฆหมอกประกอบซาวนด์ชวนง่วง อย่างอดทนเพื่อรอชมซีนยอดปรารถนาของฉันและใครหลายๆคน นั่นคือ...เลิฟซีน
ฉากรักในเต็นท์ของชายเลี้ยงแกะในชุดคนเลี้ยงวัวอารมณ์เปลี่ยว 2 คน ท่ามกลางทุ่งหญ้าบนยอดเขาอันหนาวเหน็บ และแล้วฉากนั้นก็มาถึง
ทันทีที่เงาตะคุ่มๆ พระเอก กับ พระเอก ( อีกคน ) โถมตัวกระโจนเข้าแลกน้ำลายกันในความมืดสลัว แสงอาทิตย์ยามอรุณรุ่งก็สาดขึ้นทันทีราวแสงอสุนีบาต ท่ามกลางความตะลึงพรึงเพริศของฉัน
...อ้าว แล้วฉากที่ไอ้หนุ่มเลี้ยงแกะขี้หนาวมันเอากันอย่างดุเดือดจนร้องเป็นเสียงแกะอย่างที่ได้ดูในโรงมันหายไปไหนวะ...

ฉากรักที่ฉันอุตส่าห์เฝ้ารอดูถูกหั่นทิ้งไปเรียบร้อยแล้ว เช่นเดียวกับเรื่องอื่นๆที่ฉากการจูบกันของเพศเดียวกันจะต้องถูกเซนเซอร์ ถูกทำให้เบลอ ไม่ก็มีรูปอะไรสักอย่างมาบังไว้ ผิดกับเลิฟซีนของผู้หญิงผู้ชายที่แสดงความรักด้วยการกอดจูบลูบคลำกันอยู่ให้เห็นออกดาษดื่น ซึ่งฉันก็เห็นตั้งแต่จำความได้จนมาถึงปัจจุบัน ไม่ยักกะถูกหั่น ถูกบังให้รำคาญตาระคายใจ
...แต่ทันทีที่เพศเดียวกันแสดงความรักด้วยการจูบขึ้นมาบ้างกลับถูกเซ็นเซอร์ขึ้นมาทันที...

เป็นที่เข้าใจได้ว่า อะไรที่ถูกเซ็นเซอร์มักเป็นสิ่งที่ชวนเสียวทั้งนั้น ไม่ว่าจะเสียวแบบ หวาดเสียว สยดสยองชวนพองขน ชวนสะอิดสะเอียน หรือ เสียวสยิว เสียวกระสัน
ดังนั้นจึงอาจทำความเข้าใจได้ว่า การจูบกันระหว่างเพศเดียวกันมันน่าสยดสยองสะอิดสะเอียนกว่า ชวนคลื่นเหียนเจียนไส้กว่า หรืออนาจารมากกว่าการจูบกันระหว่างเพศตรงข้าม
การจูบในบางครั้งกระทำไปเพื่อแสดงออกการสนองตอบความต้องการทางเพศ ซึ่งก็คือความหมายพื้นฐานที่สุดของคำว่า “ เพศวิถี ” ( Sexuality ) ที่แต่ละบุคคลย่อมมีสิทธิเสรีภาพในการแสดงออกและสนองตอบความต้องการทางเพศ เราจึงมีเห็นความรักของ ชายหญิง ผู้ชายกับผู้ชาย ผู้หญิงกับผู้หญิง คนแก่กะเด็ก มาโซคิสม์กับซาดิสม์ มากมายหลายหลากในโลกของความเป็นจริง หากแต่โลกของสื่อกลับอ้าแขนต้อนรับให้เพศวิถีเดียวนั่นคือ ความสัมพันธ์ระว่างชายกับหญิงเท่านั้น
ความปรารถนาของแต่ละตัวบุคคลนั้นคือสิ่งที่จะกำหนดตัวตนและอัตลักษณ์ของบุคคลนั้นๆ ดังนั้นเพศวิถีจึงเป็นตัวแสดงตัวตนของแต่ละบุคคล การเซ็นเซอร์การแสดงออกถึงความต้องการของคนหนึ่งย่อมแสดงถึงการไม่ยอมรับอัตลักษณ์ของบุคคลนั้นๆ การเซ็นเซอร์ฉากรักหรือแม้แต่การจูบของเกย์ในโลกสื่อจึงไม่ต่างอะไรไปจากการเลือกปฏิบัติห้ามเกย์และตุ๊ดประกอบอาชีพบางอาชีพ บริจาคเลือด รวมไปถึงการทำประกันชีวิตในบางบริษัท ในโลกของความเป็นจริง
ไม่เพียงแต่ความเพศวิถี ที่ถูกเซนเซอร์ คำว่า “ ตุ๊ด ” ก็ยังถูกดูดเสียงในบทสนทนาของตัวละคร ราวกับว่าคำๆนั้นเป็น taboo language ที่ไม่ควรเอ่ยถึง เดี๋ยวมันจะโผล่มา อย่างที่โบราณเขาว่า เข้าป่าห้ามพูดถึงเสือ ลงเรือห้ามพูดถึงจระเข้
บางทีการเซ็นเซอร์คำๆนี้ อาจเกิดมาจากสังคมมองว่าคนที่เป็นตุ๊ดเป็นสิ่งที่ไม่ดีงาม เสื่อมทราม พลอยทำให้คำว่า “ ตุ๊ด ” ถูกนำใช้เป็นคำด่าและกลายเป็นคำหยาบคายไป
...จนในที่สุดคำว่า “ ตุ๊ด ” และ “ กะเทย ”บนโลกในโทรทัศน์และภาพยนตร์ ตกอยู่ในสถานภาพเดียวกับคำว่า หี ควย แม่มึงตาย...
ดารากะเทย เกย์ ทอมดี้ เลสเบี้ยน ซาดิสม์ มาโซคิสม์ ...ฯลฯ จึงต้องตอนเพศสภาพของตัวเองในโลกที่ใช้ชีวิตอยู่ เพื่อสวมบท ชายหญิง” แสดง ” ความรักใคร่ตามประสา ” คนปรกติ ” ในโลกในจอเงินและจอแก้ว อันที่จริงในโลกที่ดำเนินชีวิตอยู่ด้วยเหมือนกัน
นอกเสียจากว่าจะถูกจ้างให้เล่นเป็นตุ๊ดหรือทอม ให้ปรากฏอยู่ในจอเพื่อเป็นสีสันประดับเรื่องราว ในฐานะ

“ ตัวตลก ”
โลกในแผ่นฟิล์มและโทรทัศน์ล้วนเป็นโลกเสมือนจริง เป็นการประดิษฐกรรมเพื่อเป็นตัวแทนและทดแทนให้กับโลกแห่งความเป็นจริง มันจึงเป็นเพียง representation ที่ผสมกับความนึกคิดจินตนาการของผู้สร้างลงไปด้วย หากแต่โลกเสมือนจริงอันเป็นโลกแห่งจินตนาการ จะเป็นโลกที่หมูหมากาไก่สามารถพูดภาษามนุษย์ได้ โลกที่ผู้หญิงจะขาวใสได้ใน 7 วันด้วยโฟมล้างหน้าราคาถูกกว่าข้าวหนึ่งมื้อ โลกที่มีซุปเปอร์ฮีโร่ฆ่ายังไงก็ไม่ตายเหาะเหินเดินอากาศได้ โลกที่มนุษย์สามารถทำลายอุกกาบาตที่จะพุ่งมาชนโลกได้สำเร็จ โลกที่ผีดิบนับเรือนแสนลุกขึ้นมาจากหลุมศพแล้วรวมกลุ่มเป็นชุมชนได้... แต่ถึงกระนั้น การร่วมเพศกับเพศเดียวกันกลับยังทำไม่ได้