วันศุกร์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

ครอบครัว


เป็นเรื่องที่น่าเศร้า เพื่อนบ้านที่ฉันรู้จักคนนี้ หล่อนเป็นผู้หญิงประเภท แก่ เป็นโสด อยู่กับหมาต่างลูกและผัว ซึ่งดูเหมือนว่ากำลังจะมีโครงการเลี้ยงอาหารเย็นให้หมาจรจัดในซอยที่เธออยู่ในไม่ช้า หล่อนเคยบอกกับฉันว่า อยากแต่งงานมีผัวเลี้ยงลูก แต่ด้วยความเป็นลูกสาวคนโต และน้องชายก็แต่งงานแยกไปอยู่บ้านของตัวเอง ในบ้านจึงเหลือกันแค่ 4 คน เมื่อรวมพ่อแม่และน้าสาวซึ่งแก่เฒ่าเต็มที ดังนั้นเวลาทั้งหมดที่หล่อนจะใช้จับผู้ชายมาทำพ่อของลูก จึงถูกแปลงให้เป็นเวลาดูแลพ่อแม่และน้า ไม่สามารถตระเวนราตรี หรือไปสังสรรค์ได้ พอเลิกงานก็ต้องรีบกลับบ้าน เสาร์อาทิตย์ก็อยู่กับพ่อแม่พาไปทานข้าวเย็นบ้างหรือพาไปหาหมอตามที่นัดไว้บ้าง ชีวิตหล่อนวนเวียนอยู่อย่างนี้จนกระทั่งพ่อแม่และน้าตายลง


คราวนี้หล่อนสามารถหาเวลาสืบพันธุ์ได้แล้ว แต่เมื่อถึงเวลานั้นหล่อนก็พบว่าตัวเองหมดวัยเจริญพันธุ์เสียแล้ว


ฤดูร้อนที่ผ่านมา ฉันพบหล่อนที่สัตว์แพทย์ใกล้บ้าน ตอนฉันพาหมาไปฉีดยา เราจึงคุยกันตามประสาคนรักหมาแต่คนรักไม่มี หล่อนบอกว่ามีความสุขมากที่อยู่กับลูกๆของหล่อน


ลูกๆของหล่อนคือชิทสุที่หล่อนกำลังอุ้มและรวมไปถึงลูกอีกหลายตัวและหลายพันธุ์ต่างๆรวมกันที่อยู่ในบ้านเธอ


หลังจากพาหมาไปหาหมอ ฉันไปคลายร้อนที่สระว่ายน้ำคอนโดเพื่อนที่ซื้อไว้เป็นรังรักกับเกย์หนุ่มที่เจอกันในผับ เพื่อนฉันกับผัวอยู่กินด้วยกันจนเกือบครบทศวรรษ ซึ่งเป็นระยะเวลาที่หาไม่ได้ในความสัมพันธ์ของฉัน


ทั้งคู่ต่างมีแหวนที่เหมือนกันคนละวงที่นิ้วนางข้างซ้าย เปิดบัญชีร่วมกัน ทำนิติกรรมร่วมกัน ทำประกันชีวิตให้แก่กัน พวกเขาอยู่กันอย่างอบอุ่นและมีความสุขกับสถานภาพที่พวกเขานิยามว่า “ครอบครัว” แม้ว่าไม่เคยเดินไปจดทะเบียนที่อำเภอหรือมีลูกมีเต้า แต่ทั้งคุ่ไม่เคยรู้สึกขาดพร่องหรือเป็นปมด้อยแต่อย่างใด


คำว่าครอบครัวของทั้งเพื่อนเกย์ และเพื่อนบ้านของฉันมันจึงไม่ใช่ “ครอบครัว” อย่างในตามแบบฉบับตำราสังคมศึกษาที่ฉันเคยอ่าน ไม่ได้เป็นครอบครัวแบบสำเร็จรูปที่จะต้องมี คุณพ่อโอบอ้อม คุณแม่อารี อยู่กันพร้อมหน้าเพื่อทำหน้าที่ผลิตสมาชิกในครอบครัวที่เชื่อฟังคำสั่งสอนให้เป็นเด็กดีมีหน้าที่ 10 อย่างด้วยกัน และจะต้องเป็นความสัมพันธ์ที่มีบรรยากาศอบอุ่น ( ทั้งที่ภูมิประเทศอยู่ในเขตร้อนจะตายชัก ) กรุ่นไอรัก เพื่อให้ลูกอันเป็นที่ฝากความหวังของทั้งชาติไม่มีปมด้อย เป็นเด็กปัญหา เล่นยา มั่วเซ็กซ์ ติดเกมส์ขลุกอยู่แต่ร้านอินเตอร์เนท หรือวันๆเอาแต่เดินเที่ยวห้างสรรพสินค้า ตระเวนราตรี


คำนิยามของสถาบันครอบครัวในอุดมคติ ที่พ่อแม่ต้องมีหน้าที่ดูแลลูกด้วยความรักใคร่ อบรมสั่งสอนด้วยความเมตตา พ่อแม่ต้องสภาวะทางอารมณ์มั่นคง ไม่แปรปรวน ไม่แสดงความรุนแรง ฉันว่ามันสร้างปัญหามากกว่าการเลิกราอหย่าร้างหรือการเป็นเด็กกำพร้าเสียอีก


เพราะหน้าที่สำคัญของพ่อแม่ที่ว่าต้องลี้ยงลูกด้วยความรักนั้น เป็นการนำ2สิ่งที่แตกต่างกันคนละขั้วมาผสมเป็นสิ่งเดียวกันเหมือนคลุกแกงเลียงกับสลิ่มมาเป็นอาหาร


จับเอาความรักที่เป็นอารมณ์ ซึ่งโดยปรกติไม่คงที่ เป็นอะไรที่ตามใจฉัน สามารถขึ้นลงได้ตลอดแล้วแต่สถานการณ์ ตอนนี้รักหมา วันนี้รักตัวเอง เวลานี้รักชอปปิ้ง คืนนี้รักเที่ยว แปลงให้เป็นหน้าที่ ซึ่งเป็นอะไรที่จะต้อง ”ทำ” ปฏิเสธหรือเกี่ยงไม่ได้ จำต้องรักลูกรักผัวก่อนอย่างอื่นรวมไปถึงตัวเอง


และสิ่งที่ได้จากหน้าที่ของครอบครัวในตำราก็คือ พ่อแม่ที่ชอบพูดว่า “เลี้ยงลูกให้เติบใหญ่ ไม่หวังอะไรจากลูกขอให้ลูกเป็นคนดีก็พอ” นั้น เพ้อเจ้อสิ้นดี


เพราะหน้าที่ของพ่อแม่ก็เพื่อทำให้สมาชิกใหม่ของครอบครัวเป็นไปตามความคาดหวังของสังคมซึ่งร่วมถึงพ่อแม่ด้วยในฐานะสัตว์สังคม ถ้าพ่อแม่ไม่ได้หวังอะไร แล้วทำไมต้องพาลูกไปหาจิตแพทย์ทันทีที่พบว่าลูกชอบเพศเดียวกัน และทำไมต้องกลัดกลุ้มเมื่อรู้ว่าลูกสาวสุดรักสุดหวงของตนกำลังหลงรักกับวินมอเตอร์ไซค์ชาวกาฬสินธุ์


ทันทีที่ผลผลิตของตนไม่ตรงอย่างที่คาดหวังพ่อแม่หลายคู่หลายคนก็คิดว่าตนเป็นบุพการีสอบตก แบกความรู้สึกผิดกลับมาโทษตัวเองว่าเลี้ยงแกไม่ดีแต่แรกเอง บ้างก็ว่าเป็นตัวอย่างที่ไม่ดี ใช้ความรุนแรง ไม่มีเวลาให้ ไม่ยอมอยู่พร้อมหน้า ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นการโบ้ยความผิดของรัฐ ที่ไม่ว่าจะเกิดปัญหาสังคมเรื่องอะไร เป็นต้องหันมาโทษหน่วยเล็กๆของสังคมที่ชื่อครอบครัวอยู่ร่ำไป แม้ว่าจะเป็นปัญหาระดับมหภาคก็ตาม ราวกับว่าโลกนี้ไม่เคยมีการก่ออาชญากรรมมาก่อน แล้วพ่อแม่มันสังเคราะห์แสงได้เองเลยไม่ต้องออกไปทำมาหากิน วันๆนึงนั่งให้นมป้อนข้าวลูกกิน


แล้วที่แย่กว่านั้นรัฐไม่เคยเลิกล้มความพยายามในการนำเอาอารมณ์มาแปรสภาพให้เป็นหน้าที่เพื่อผลิตสมาชิกใหม่ของสังคม


อย่างน้อยที่สุด ประการแรกของหน้าที่ของสถาบันครอบครัวที่บัญญัติในตำราเรียนข้อแรกก็คือ การผลิตสมาชิกใหม่ให้สังคม ซึ่งเป็นที่น่าสับสนว่าการปี้ๆเอาๆกันถูกสถาปนาเป็นหน้าที่ตั้งแต่เมื่อไรกัน ถ้ามันไม่เกิดอารมณ์มันจะเอากันไหม แล้วฉันอยากจะสารภาพว่า


“ที่กูเอากับผัวกูทุกวันเนี่ยะ เพราะกูเงี่ยน ไม่ได้คิดถึงการปฏิบัติหน้าที่ต่อสถาบันเลย”


ดังนั้นความหมายของครอบครัวจึงบรรจุแต่เรื่องของหญิงรักชาย ชายรักหญิง ที่มีลูกได้ ( ไม่งั้นเรียกว่าครอบครัวไม่สมบูรณ์ ) แต่ถึงกระนั้นก็ต้องมีลูกหลังเรียนจบทำการทำงาน มิฉะนั้นไม่เรียกว่าเป็นครอบครัว แต่เรียกว่า “ใจแตก”

โดยการนิยามประเภทนี้ทำให้ คู่เกย์ คู่เลสเบี้ยน หญิงแก่ที่อยู่กับหมา ปลาสนาการจากความหมายขอสถาบันครอบครัว เพราะไม่สามารถจดทะเบียนสมรสหรือและรับรองเป็นลูกได้ตามกฎหมาย รวมไปถึงไม่สามารถแจ้งเกิดภายใน 15 วันได้ว่าอีด่างมันตกลูกจำนวนคอกละกี่ตัว


ขณะที่วันครอบครัวของทุกปีที่รัฐกำหนด หลายคนต่างกลับบ้านกลับช่องภูมิลำเนาเดิมเพื่อไปอยู่กับบุคคลที่มีชื่อในทะเบียนบ้าน ไปอยู่กับ”ครอบครัว”ที่รัฐให้ความหมาย


การพาหมาไปหาหมอเพื่อฉีดยากันเชื้อบ้าในวันครอบครัวจึงนอกเหนือความเข้าใจการอยู่กับครอบครัวในแบบที่รัฐจำกัดความ การจูงมือไปทำบุญตอนเช้าและไปเล่นน้ำที่อตก.ตอนดึกของคู่เกย์จึงไม่ใช่กิจกรรมประสาครอบครัวในวันครอบครัวตามที่สังคมคาดหวัง


เพราะครอบครัวมันโยงถึงความสัมพันธ์ของพลเมืองที่มีต่อรัฐ และหน้าที่ของบุคคลที่มีต่อสังคม ไม่ใช่เรื่องของปัจเจกบุคคลกับความต้องการ

ดังนั้นฉันจึงกลับมาคิดได้ว่า อันที่จริงครอบครัวมันก็เป็นเรื่องของหน้าที่นี่หว่า...

วันพฤหัสบดีที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

เกย์กับเอดส์ ชาตินี้เราจะไม่พรากจากกัน



ได้ข่าวจากหนังสือพิมพ์มาว่า เด็กชายมัธยมต้นคนหนึ่งถูกลวงไปข่มขืน โดยข่าวรายงานว่า ชายที่ลวงไปตุ๋ยมีลักษณะเป็นรักร่วมเพศ หวั่นจะมีเชื้อ HIV จึงเร่งให้เหยื่อกินยาระงับเชื้อโดยด่วน


ฉันได้แต่สงสัยกับเนื้อข่าว ว่าทำไมเด็กที่ถูกบุคคลผู้ซึ่งข่าวยังใช้คำว่า”รักร่วมเพศ”อยู่ ทำกิริยา ”ตุ๋ย” จะต้องรีบกินยาต้านเอดส์ แล้วเหยื่อผู้หญิงที่ถูกผู้ชายหื่นกามมันอึ๊บเอาล่ะ ไม่ต้องกินยารึไง


ฉันก็ไม่รู้ว่าข่าวเลือกที่จะไม่ลงว่าผู้หญิงต้องกินยาต้าน หรือ ทางแพทย์ที่เป็นฝ่ายเลือกเองว่าเหยื่อของไอ้หื่นกามเพศไหนที่จะต้องกิน


อย่างไรก็ตาม มันก็ทำให้ผู้เสพข่าวอย่างฉันรู้ว่า บุคคลที่มีลักษณะชอบมีเพศสัมพันธ์กับชายด้วยกัน มีความน่าจะเป็นเอดส์ได้มากกว่าผู้ที่มีลักษณะนิยมสมสู่กับเพศตรงกันข้าม และกลายเป็นว่า เอดส์เป็นโรคที่เกิดเฉพาะกลุ่มชายร่วมเพศกับชายด้วยกัน ไม่เกิดในกลุ่มผู้ชายที่ร่วมเพศกับผู้หญิง


ที่เกย์กับเอดส์จับคู่เข้าหากันก็คงเพราะ เมื่อปี 2527 พบว่าคนไทยติดเชื้อ HIV คนแรก เป็นเกย์ ซึ่งจากนั้นเป็นต้นมา เกย์ กะเทยก็ถูกจับมาคู่กับเอดส์เป็นอินกับจัน


เกย์กับเอดส์ จะคล้ายกันตรงที่เป็นคำยืมมาจากภาษาอังกฤษ แล้วนิยมใช้จนรู้สึกเหมือนภาษาไทย แต่ทั้ง 2 ก็กลายเป็นของคู่กันและสนิทกันมากพอที่สภากาชาดรู้สึกหนาวๆห้ามไม่ให้ชายรักเพศเดียวกันบริจาคเลือด ด้วยอ้างว่ากลุ่มคนดังกล่าวมีความน่าจะเป็นและอัตราเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอดส์


ราวกับว่าทางธนาคารเลือดไม่มีการตรวจสอบเลือดที่ถูกนำเข้าไปเก็บรักษา


เพื่อนเกย์จิตสาธารณะเคร่งศาสนาของฉันคนหนึ่งไปบริจาคเลือดที่โรงพยาบาล นางพยาบาลถามอย่างชัดถ้อยว่า "ท่านหรือคู่ของท่านมีเพศสัมพันธ์กับเพศเดียวกันหรือไม่" เพื่อฉันได้แต่พาซื่อตอบไปว่าเคย ไพล่นึกว่านางพยาบาลนางนี้อยากเป็นมิตรแบบปฐมภูมิ สามารถพูดคุยได้ทุกเรื่องทั้งเรื่องส่วนตัวและสาธารณะ จึงถามกลับไปว่า “แล้วคุณเคยร่วมเพศกับคนในครอบครัวบ้างไหม ฉันน่ะไม่เคยหรอกนะ ที่ถามเพราะตามหน้าที่”


แม้ว่าทางสภาจะเปิดไฟเขียวให้บริจาคเลือดได้และเลิกคำถามไร้ยางอายที่ว่า แต่อคติทางเพศว่าเกย์ต้องคู่กับเอดส์ก็ยังคงอยู่


เหมือนที่ฉันไปซื้อกับข้าวหน้าปากซอย สายตาแม่ค้ากำลังจับจ้องตุ๊ดนางหนึ่งอย่างหมั่นไส้แกมขบขัน ร่างหลอนผอมเพรียวแทบปลิวลม เดินระเหิดระหงไปมาในตลาด หลังจากที่เดินผ่านไปยังไม่พ้นไปไหน แม่ค้าหยิบผักใส่ถุงพลาสติกพลางกระซิบกับฉันว่า ดูสิผอมเชียว สงสัยอีนี่มันต้องเป็นเอดส์ชัวร์...


ฉันได้พยักหน้าพยักตารับฟัง ในใจสับสนอยู่แต่ประโยคหลัง สรุปว่าป้าสันนิษฐานหรือมั่นใจว่าเขาเป็นเอดส์กันแน่


ในสังคมที่เชื่อว่าความอ้วนเป็นอาชญากรรมสังคม เกย์ก็อยากผอมสะโอดสะองค์ร่างระหงบ้าง แต่พอผอมกลับถูกมองว่าเป็นเอดส์ พออ้วนก็โดนด่า หาว่าอีนี่เกิดเป็นตุ๊ดสะเปล่ายังจะอ้วนอีก ไม่รู้จักดูแลตัวเองเล้ยยย...อีกะเทยควาย


เกิดเป็นเก้งเป็นกวางนี่ รันทดจริงๆ ไม่มีโอกาสบริจาคเลือดยังไม่พอ ทำประกันชีวิตบางสำนักก็ไม่ได้ จะรับราชการเป็นครูบาอาจารย์ก็ถูกกีดกันเพราะว่าจะเป็นตัวอย่างที่”ไม่ดี” พอผอมก็หาว่าเป็นโรค พอมีเงินถุงเงินถังเข้าหน่อยก็โดนด่า หาว่ามีเสี่ยเลี้ยงไม่ก็ไปขายตัวมา ได้เงินด้วยการแลกหยาดเหงื่อแรงกาม แต่พอยากจนข้นแค้นก็กลายเป็นขี้ปากอีกว่าอีนี่มันโง่โดนผู้ชายหลอกแดก


...สรุปต่อให้หายใจเข้า-ออกกูก็ถูกด่าด้วยใช่ไหม...


บางทีคงไม่ได้ซวยที่เกิดแบบนี้แต่ซวยที่เกิดในสังคมพรรค์นี้ สังคมที่มักรังเกียจ “ความแตกต่าง” แล้วสร้าง ”ความเป็นอื่น” ด้วยการเอาสิ่งที่สังคมรังเกียจไม่ต้องการไปนิยามและตีตรา อย่างน้อยที่สุดก็ความเจ็บไข้ได้ป่วย


แม้ว่าเกย์คนนั้นจะป้องกันหรือไม่เคยมีเพศสัมพันธ์ก็ตาม เพราะความป่วยไข้และโรคร้ายคืออีกความหมายและเครื่องมืออย่างหนึ่งที่ใช้นิยามตัวตนของคนชายขอบคนที่ถูกมองว่าไม่ใช่”พวกเรา”ให้ดูมีพิษมีภัยเป็นอันตรายต่อสังคม เหมือนที่ครั้งหนึ่งทางสาธารณะสุขเคยกล่าวว่าแรงงานต่างด้าวที่เข้ามาทำมาหากินไทยผู้นำวัณโรคโรคมาแพร่ระบาด


เกย์ กะเทย และ แรงงานพม่า จึงตกอยู่ที่นั่งเดียวกันคือเป็นทั้งชนชายขอบและชนกลุ่มที่มักสร้างปัญหาให้กับความปลอดภัยของสังคม ทั้งที่ความเป็นจริงวัณโรคเกิดจากแบคทีเรียที่กระจายอยู่ในอากาศและเอดส์ก็เกิดจากไวรัสที่ผ่านการร่วมเพศ ไม่ได้เกี่ยวกับเชื้อชาติหรือรสนิยมทางเพสแต่อย่างใด


อันที่จริงจะตัดพ้อสังคมที่นิยมร่วมเพศระหว่างจู๋กับจิ๋มไม่ได้ที่พยายามสร้างวาทกรรมให้การร่วมเพศระหว่างจู่กับตูดเป็นพาหะแพร่เชื้อ เพราะดูเหมือนว่าบรรดาคุณเก้งคุณกวางๆทั้งหลายเองก็มีส่วนผลักดันให้วาทกรรมวาทเวรเกย์อยู่คู่กับเอดส์ดำรงอยู่อย่างหน้าชื่นตาบาน


เมื่อคืนก่อนฉันไปสำเริญสำราญกับเพื่อนพ้องยังสถานเริงรมย์ ได้รับแจกถุงยางอนามัยที่บรรจุในห่อข้อความเกี่ยวกับเชื้อเชิญเกย์ตรวจเลือดแถวสีลม ซึ่งเป็นบริการฟรีขององค์กรไม่หวังผลกำไรชื่อดังเกี่ยวกับชายรักชาย


ซึ่งฉันคาดว่าองค์กรและเอ็นจีโออื่นๆที่เกี่ยวกับเกย์กะเทยต้องมีกิจกรรมอะไรให้ทำเยอะแยะมากกว่านี้นอกเหนือจากแจกถุงยางจนเกร่อเกรื่อน แต่ที่ปรากฏต่อสายตาสังคมกลับเจาะจงเฉพาะเรื่องการติดเชื้อจากการร่วมเพศ อย่างชวนเกย์ไปตรวจเลือด ให้คำปรึกษาปัญหาสุขภาพ จัดค่ายทักษะชีวิตพิชิตเอดส์ จนดูราวกับว่ามันเป็นโรคภัยไข้เจ็บของชุมชนของคนรักเพศเดียวกัน


จะว่าไปกิจกรรมพวกนี้น่าจะเป็นกิจกรรมขององค์กรคาธอลิคมากกว่า เพราะคนกลุ่มนี้เชื่อว่าการคุมกำเนิดเป็นเรื่องผิดศีลธรรมและการใช้ถุงยางก็เป็นบาป


การตะบี้ตะบันแจกถุงยางตามเกย์สถานและเกย์นิคมอย่างไม่กลัวโรคร้อน จึงเป็นสภาวะยอมจำนนของเกย์ต่อการถูกนิยามตัวตนที่สังคมยัดเยียดให้ แม้ว่าจะเกิดจากความหวังดีของคนในกลุ่มด้วยกันเองที่มีสถิติรายงานว่าเป็นกลุ่มที่มีผู้ติดเชื้อHIVจำนวนมาก แต่มันก็เป็นงานวิจัยเชิงปริมาณจากกลุ่มรักเพศตรงกันข้ามที่เต็มไปด้วยอคติและมายาคติ ซึ่งคนพวกนี้แหละที่จำเป็นต้องใช้ถุงยางมากที่สุด เพราะยิ่งมีลูกมีหลานมากเท่าไรก็ยิ่งผลิตซ้ำทัศนคติแบบเดิมและทำให้แพร่ระบาดรุนแรงกว่าเอดส์เสียอีก


อีกอย่างถุงยางอนามัยที่องค์กรเกย์แจกกันอยู่น่ะ มันก็มีไว้สวมจู๋เพื่อเอากะจิ๋มไม่ใช่กะตูด เพราะฉันเห็นเค้าเขียนไว้เป็นภาษาไทย อังกฤษ ญี่ปุ่น ฮ่องกง ในคู่มือยู่โทนโท่ว่า “การใช้ถุงยางอนามัยสำหรับเพศสัมพันธ์ทางอื่นนอกจากช่องคลอด อาจทำให้เสี่ยงต่อการลื่นหลุด หรือฉีกขาดของถุงยางอนามัยได้”


แม้ว่าถุงยางจะถูกแจกฟรีโดยองค์กรเกย์ก็ตาม แต่มันก็ไม่ได้ให้ใช้ร่วมเพศแบบเกย์ สรุปแล้วจึงไม่มีอุปกรณ์สำหรับร่วมเพศอย่างปลอดภัยในกลุ่มเกย์ และก็ไม่เห็นมีบริษัทไหนคิดจะผลิตถุงยางสำหรับร่วมเพศทางทวารหนัก ทั้งๆที่มีการโพลล์สำรวจว่าเกย์เปลี่ยนคู่นอนกันบ่อยกว่าผู้หญิงผู้ชาย

...ด้วยเหตุนี้ เกย์ กับ เอดส์ ชาตินี้คงไม่พรากจากกัน...

วันอาทิตย์ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

คำสารภาพของคนเคยมีรัก


แล้วเจ้าหญิงก็ตื่นจากบรรทมอันยาวนาน เมื่อเจ้าชายจุมพิต หลังจากนั้นทั้ง 2 จึงเข้าวิวาห์และครองรักกันตราบนานเท่านาน

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า คนบางคนต่อให้นอนเฉยๆก็มีผัวได้ โดยไม่ต้องลงมือลงแรงอะไรอะไร
ต่างกับฉัน ไม่ว่าจะ ให้เพื่อนหาให้ แชทในเนท แต่งตัวยั่ว ทำตัวแอ๊บแบ๊ว แกล้งเมาไปจนถึงมอมเหล้าผู้ชาย ก็ยังหาไม่ได้อยู่ดี นานๆทีจะมีคนหลังเข้ามา แต่อยู่ได้ไม่นานก็หลุดออกไป


...การมีคนรักได้สักคนมันยากเหลือเกิน แต่กว่าจะมีคนรักดีๆมันยิ่งยากกว่า…


แค่คนที่พอใจและพร้อมจะให้ฉันหนุนนอนในอ้อมกอดและเต็มใจรับหัวใจและกายฉันอย่างไม่อึดอัดใจ คนที่ฉันจะพูดคุยได้ทุกเรื่อง ยอมรับและให้อภัยฉันทั้งข้อดีและข้อเสีย บนโลกที่หนาแน่นหลายล้านคน แค่คนๆเดียวมันไม่มีเลยหรือ


จะมีใครสักคนบ้างที่รู้ว่า หลายคืนที่ฉันต้องรู้สึกโดดเดี่ยวใต้ลูกบอลดิสโก้กับผู้คนคลาคล่ำและเสียงเพลงอึกทึก หลายค่ำที่ฉันหลับไปพร้อมกับความว้าเหว่ เดียวดาย หลายครั้งที่เบื้องหลังรอยยิ้มและเสียงหัวเราะมันคือหยาดน้ำตา


ฉันดูเหมือนคนปากกล้า ร้ายกาจ บ้าบิ่น เพี้ยน เจ้าทฤษฎี เข็มแข็ง เด็ดเดี่ยว ไม่แคร์ใครไร้ซึ่งความเมตตาสงสาร กะล่อนเจ้าชู้ ตลกโปกฮา ฉันสารภาพว่าแท้จริงมันคือเครื่องรางของขลัง ชุดเกราะและโล่เหล็ก เพื่อปกป้องไม่ให้ความอ่อนแอ ขลาดกลัว ระแวง อ่อนไหว และเต็มไปด้วยความรู้สึกและอารมณ์ มันรั่วไหลออกมาให้ใครเห็น


ฉันเฝ้าใฝ่ในรักอันเหลือเชื่อ ที่เหมือนในนิยาย ในละครที่เคยหลงใหลได้ปลื้มชวนยิ้มกับความรักที่ตัวละครคู่หนึ่งมอบให้แก่กัน แต่ทันทีที่มีรัก ฉันกลับรักษามันไว้ไม่อยู่ทุกที ไม่ว่าจะจบลงด้วยเหตุผลใดฉันไม่เคยหลีกหนีความรู้สึกได้เลยทุกที ในหัวใจ มันว่างเปล่าแต่หนักหน่วงคอยถ่วงให้ความรู้สึกทุกอย่างดูหดหู่ ในหัวสมองมันวนเวียนแต่เรื่องเดิมๆเก่าๆเรื่องของเขา ข่มตาให้หลับไม่ลงสักที แต่ทันทีที่ตื่นเรื่องเขาก็เข้ามาในหัวทันทีให้คิดต่อ วนไปวนมา

ทุกครั้งหัวใจช้ำจนมันชา พาลคิดไปว่าคงรักใครไม่ได้อีกต่อไป เฝ้าบอกตัวเองว่า “ พอกันที ” แต่สุดท้ายก็เผลอมีความรักอีกครั้งให้หัวใจชุ่มฉ่ำอีกที แต่แล้วในที่สุดมันก็วกกลับมาเหมือนจุดเริ่มต้น... อยู่ตัวคนเดียวและความเจ็บปวดที่มองไม่เห็นแต่ไม่เคยห่างกาย


เป็นแบบนี้ทุกทีทุกครั้งทุกคน ซ้ำไปซ้ำมา แต่แปลกที่ไม่เคยเข็ด... ทว่าไม่เคยชิน


ฉันก็เหมือนกับใครๆหลายคนที่ไม่อยากขาดรัก เพราะมันดูน่าเศร้า น่าหดหู่ แม้ว่าจะไม่หม่นหมองชวนน่าเศร้าใจเท่ากับตอนที่ต้องเลิกรากันที่ทั้งเจ็บปวดและกัดกร่อนหัวใจ แต่ก็ดูเหมือนว่าทุกคนพร้อมที่จะยอมเอาตัวและหัวใจเข้าเสี่ยงเพื่อไม่ต้องขาดรัก


ใครหลายๆคนต่างก็ไปไหว้พระตรีมูรติที่เซ็นทรัลเวิร์ลด์ เพราะว่ากันว่าจะนำมาซึ่งความรัก
ถ้าสิ่งศักดิ์สิทธิ์มีจริง และสามารถประทานคนรักได้จริงๆ ถ้าอย่างนั้นช่วยสาปให้ฉันรักใครไม่เป็นด้วยเถอะ


เพราะทุกครั้งเช่นกันที่ความรักสลัดฉันออกจากมัน มันเจ็บปวด ทรมาน เหมือนถูกเหวี่ยงออกจากเครื่องหมุน มันทั้งเสะบักสะบอม และทรงตัวไม่เคยอยู่ แม้ว่าทุกครั้งที่มีความรักมันทำให้ฉันรู้สึกเด็กลง กลับไปสู่วันเยาว์อีกครั้ง ขณะเดียวกันก็รู้สึกมั่นใจเหมือนเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว เพราะคงเข้าใจมาตลอดว่าความรักเป็นเรื่องของผู้ใหญ่ แต่มันก็เป็นได้ที่ไม่คุ้มเสีย


ความรักทำให้ฉันต้องหนาวสั่นมากแค่ไหน หัวใจฉันก็ยิ่งเหน็บมากแค่นั้น ยิ่งชอกช้ำรักมากเท่าไรหัวใจยิ่งด้านช้าเท่ากัน แม้จะทำให้เข็มแข็งมากขึ้นเพียงใดมันก็หยาบกร้านและถูกกัดกร่อนมากพอกัน

ลาก่อน...ความรัก มึงไปสิงหัวใจคนอื่นซะ ก่อนที่มึงจะแตกสลายไปพร้อมกะหัวใจกู อีห่าลาก