วันพฤหัสบดีที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2551

เกย์กับเอดส์ ชาตินี้เราจะไม่พรากจากกัน



ได้ข่าวจากหนังสือพิมพ์มาว่า เด็กชายมัธยมต้นคนหนึ่งถูกลวงไปข่มขืน โดยข่าวรายงานว่า ชายที่ลวงไปตุ๋ยมีลักษณะเป็นรักร่วมเพศ หวั่นจะมีเชื้อ HIV จึงเร่งให้เหยื่อกินยาระงับเชื้อโดยด่วน


ฉันได้แต่สงสัยกับเนื้อข่าว ว่าทำไมเด็กที่ถูกบุคคลผู้ซึ่งข่าวยังใช้คำว่า”รักร่วมเพศ”อยู่ ทำกิริยา ”ตุ๋ย” จะต้องรีบกินยาต้านเอดส์ แล้วเหยื่อผู้หญิงที่ถูกผู้ชายหื่นกามมันอึ๊บเอาล่ะ ไม่ต้องกินยารึไง


ฉันก็ไม่รู้ว่าข่าวเลือกที่จะไม่ลงว่าผู้หญิงต้องกินยาต้าน หรือ ทางแพทย์ที่เป็นฝ่ายเลือกเองว่าเหยื่อของไอ้หื่นกามเพศไหนที่จะต้องกิน


อย่างไรก็ตาม มันก็ทำให้ผู้เสพข่าวอย่างฉันรู้ว่า บุคคลที่มีลักษณะชอบมีเพศสัมพันธ์กับชายด้วยกัน มีความน่าจะเป็นเอดส์ได้มากกว่าผู้ที่มีลักษณะนิยมสมสู่กับเพศตรงกันข้าม และกลายเป็นว่า เอดส์เป็นโรคที่เกิดเฉพาะกลุ่มชายร่วมเพศกับชายด้วยกัน ไม่เกิดในกลุ่มผู้ชายที่ร่วมเพศกับผู้หญิง


ที่เกย์กับเอดส์จับคู่เข้าหากันก็คงเพราะ เมื่อปี 2527 พบว่าคนไทยติดเชื้อ HIV คนแรก เป็นเกย์ ซึ่งจากนั้นเป็นต้นมา เกย์ กะเทยก็ถูกจับมาคู่กับเอดส์เป็นอินกับจัน


เกย์กับเอดส์ จะคล้ายกันตรงที่เป็นคำยืมมาจากภาษาอังกฤษ แล้วนิยมใช้จนรู้สึกเหมือนภาษาไทย แต่ทั้ง 2 ก็กลายเป็นของคู่กันและสนิทกันมากพอที่สภากาชาดรู้สึกหนาวๆห้ามไม่ให้ชายรักเพศเดียวกันบริจาคเลือด ด้วยอ้างว่ากลุ่มคนดังกล่าวมีความน่าจะเป็นและอัตราเสี่ยงต่อการติดเชื้อเอดส์


ราวกับว่าทางธนาคารเลือดไม่มีการตรวจสอบเลือดที่ถูกนำเข้าไปเก็บรักษา


เพื่อนเกย์จิตสาธารณะเคร่งศาสนาของฉันคนหนึ่งไปบริจาคเลือดที่โรงพยาบาล นางพยาบาลถามอย่างชัดถ้อยว่า "ท่านหรือคู่ของท่านมีเพศสัมพันธ์กับเพศเดียวกันหรือไม่" เพื่อฉันได้แต่พาซื่อตอบไปว่าเคย ไพล่นึกว่านางพยาบาลนางนี้อยากเป็นมิตรแบบปฐมภูมิ สามารถพูดคุยได้ทุกเรื่องทั้งเรื่องส่วนตัวและสาธารณะ จึงถามกลับไปว่า “แล้วคุณเคยร่วมเพศกับคนในครอบครัวบ้างไหม ฉันน่ะไม่เคยหรอกนะ ที่ถามเพราะตามหน้าที่”


แม้ว่าทางสภาจะเปิดไฟเขียวให้บริจาคเลือดได้และเลิกคำถามไร้ยางอายที่ว่า แต่อคติทางเพศว่าเกย์ต้องคู่กับเอดส์ก็ยังคงอยู่


เหมือนที่ฉันไปซื้อกับข้าวหน้าปากซอย สายตาแม่ค้ากำลังจับจ้องตุ๊ดนางหนึ่งอย่างหมั่นไส้แกมขบขัน ร่างหลอนผอมเพรียวแทบปลิวลม เดินระเหิดระหงไปมาในตลาด หลังจากที่เดินผ่านไปยังไม่พ้นไปไหน แม่ค้าหยิบผักใส่ถุงพลาสติกพลางกระซิบกับฉันว่า ดูสิผอมเชียว สงสัยอีนี่มันต้องเป็นเอดส์ชัวร์...


ฉันได้พยักหน้าพยักตารับฟัง ในใจสับสนอยู่แต่ประโยคหลัง สรุปว่าป้าสันนิษฐานหรือมั่นใจว่าเขาเป็นเอดส์กันแน่


ในสังคมที่เชื่อว่าความอ้วนเป็นอาชญากรรมสังคม เกย์ก็อยากผอมสะโอดสะองค์ร่างระหงบ้าง แต่พอผอมกลับถูกมองว่าเป็นเอดส์ พออ้วนก็โดนด่า หาว่าอีนี่เกิดเป็นตุ๊ดสะเปล่ายังจะอ้วนอีก ไม่รู้จักดูแลตัวเองเล้ยยย...อีกะเทยควาย


เกิดเป็นเก้งเป็นกวางนี่ รันทดจริงๆ ไม่มีโอกาสบริจาคเลือดยังไม่พอ ทำประกันชีวิตบางสำนักก็ไม่ได้ จะรับราชการเป็นครูบาอาจารย์ก็ถูกกีดกันเพราะว่าจะเป็นตัวอย่างที่”ไม่ดี” พอผอมก็หาว่าเป็นโรค พอมีเงินถุงเงินถังเข้าหน่อยก็โดนด่า หาว่ามีเสี่ยเลี้ยงไม่ก็ไปขายตัวมา ได้เงินด้วยการแลกหยาดเหงื่อแรงกาม แต่พอยากจนข้นแค้นก็กลายเป็นขี้ปากอีกว่าอีนี่มันโง่โดนผู้ชายหลอกแดก


...สรุปต่อให้หายใจเข้า-ออกกูก็ถูกด่าด้วยใช่ไหม...


บางทีคงไม่ได้ซวยที่เกิดแบบนี้แต่ซวยที่เกิดในสังคมพรรค์นี้ สังคมที่มักรังเกียจ “ความแตกต่าง” แล้วสร้าง ”ความเป็นอื่น” ด้วยการเอาสิ่งที่สังคมรังเกียจไม่ต้องการไปนิยามและตีตรา อย่างน้อยที่สุดก็ความเจ็บไข้ได้ป่วย


แม้ว่าเกย์คนนั้นจะป้องกันหรือไม่เคยมีเพศสัมพันธ์ก็ตาม เพราะความป่วยไข้และโรคร้ายคืออีกความหมายและเครื่องมืออย่างหนึ่งที่ใช้นิยามตัวตนของคนชายขอบคนที่ถูกมองว่าไม่ใช่”พวกเรา”ให้ดูมีพิษมีภัยเป็นอันตรายต่อสังคม เหมือนที่ครั้งหนึ่งทางสาธารณะสุขเคยกล่าวว่าแรงงานต่างด้าวที่เข้ามาทำมาหากินไทยผู้นำวัณโรคโรคมาแพร่ระบาด


เกย์ กะเทย และ แรงงานพม่า จึงตกอยู่ที่นั่งเดียวกันคือเป็นทั้งชนชายขอบและชนกลุ่มที่มักสร้างปัญหาให้กับความปลอดภัยของสังคม ทั้งที่ความเป็นจริงวัณโรคเกิดจากแบคทีเรียที่กระจายอยู่ในอากาศและเอดส์ก็เกิดจากไวรัสที่ผ่านการร่วมเพศ ไม่ได้เกี่ยวกับเชื้อชาติหรือรสนิยมทางเพสแต่อย่างใด


อันที่จริงจะตัดพ้อสังคมที่นิยมร่วมเพศระหว่างจู๋กับจิ๋มไม่ได้ที่พยายามสร้างวาทกรรมให้การร่วมเพศระหว่างจู่กับตูดเป็นพาหะแพร่เชื้อ เพราะดูเหมือนว่าบรรดาคุณเก้งคุณกวางๆทั้งหลายเองก็มีส่วนผลักดันให้วาทกรรมวาทเวรเกย์อยู่คู่กับเอดส์ดำรงอยู่อย่างหน้าชื่นตาบาน


เมื่อคืนก่อนฉันไปสำเริญสำราญกับเพื่อนพ้องยังสถานเริงรมย์ ได้รับแจกถุงยางอนามัยที่บรรจุในห่อข้อความเกี่ยวกับเชื้อเชิญเกย์ตรวจเลือดแถวสีลม ซึ่งเป็นบริการฟรีขององค์กรไม่หวังผลกำไรชื่อดังเกี่ยวกับชายรักชาย


ซึ่งฉันคาดว่าองค์กรและเอ็นจีโออื่นๆที่เกี่ยวกับเกย์กะเทยต้องมีกิจกรรมอะไรให้ทำเยอะแยะมากกว่านี้นอกเหนือจากแจกถุงยางจนเกร่อเกรื่อน แต่ที่ปรากฏต่อสายตาสังคมกลับเจาะจงเฉพาะเรื่องการติดเชื้อจากการร่วมเพศ อย่างชวนเกย์ไปตรวจเลือด ให้คำปรึกษาปัญหาสุขภาพ จัดค่ายทักษะชีวิตพิชิตเอดส์ จนดูราวกับว่ามันเป็นโรคภัยไข้เจ็บของชุมชนของคนรักเพศเดียวกัน


จะว่าไปกิจกรรมพวกนี้น่าจะเป็นกิจกรรมขององค์กรคาธอลิคมากกว่า เพราะคนกลุ่มนี้เชื่อว่าการคุมกำเนิดเป็นเรื่องผิดศีลธรรมและการใช้ถุงยางก็เป็นบาป


การตะบี้ตะบันแจกถุงยางตามเกย์สถานและเกย์นิคมอย่างไม่กลัวโรคร้อน จึงเป็นสภาวะยอมจำนนของเกย์ต่อการถูกนิยามตัวตนที่สังคมยัดเยียดให้ แม้ว่าจะเกิดจากความหวังดีของคนในกลุ่มด้วยกันเองที่มีสถิติรายงานว่าเป็นกลุ่มที่มีผู้ติดเชื้อHIVจำนวนมาก แต่มันก็เป็นงานวิจัยเชิงปริมาณจากกลุ่มรักเพศตรงกันข้ามที่เต็มไปด้วยอคติและมายาคติ ซึ่งคนพวกนี้แหละที่จำเป็นต้องใช้ถุงยางมากที่สุด เพราะยิ่งมีลูกมีหลานมากเท่าไรก็ยิ่งผลิตซ้ำทัศนคติแบบเดิมและทำให้แพร่ระบาดรุนแรงกว่าเอดส์เสียอีก


อีกอย่างถุงยางอนามัยที่องค์กรเกย์แจกกันอยู่น่ะ มันก็มีไว้สวมจู๋เพื่อเอากะจิ๋มไม่ใช่กะตูด เพราะฉันเห็นเค้าเขียนไว้เป็นภาษาไทย อังกฤษ ญี่ปุ่น ฮ่องกง ในคู่มือยู่โทนโท่ว่า “การใช้ถุงยางอนามัยสำหรับเพศสัมพันธ์ทางอื่นนอกจากช่องคลอด อาจทำให้เสี่ยงต่อการลื่นหลุด หรือฉีกขาดของถุงยางอนามัยได้”


แม้ว่าถุงยางจะถูกแจกฟรีโดยองค์กรเกย์ก็ตาม แต่มันก็ไม่ได้ให้ใช้ร่วมเพศแบบเกย์ สรุปแล้วจึงไม่มีอุปกรณ์สำหรับร่วมเพศอย่างปลอดภัยในกลุ่มเกย์ และก็ไม่เห็นมีบริษัทไหนคิดจะผลิตถุงยางสำหรับร่วมเพศทางทวารหนัก ทั้งๆที่มีการโพลล์สำรวจว่าเกย์เปลี่ยนคู่นอนกันบ่อยกว่าผู้หญิงผู้ชาย

...ด้วยเหตุนี้ เกย์ กับ เอดส์ ชาตินี้คงไม่พรากจากกัน...