วันพุธที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2551

เอาไว้โตก่อนแล้วค่อยรู้




จำได้ว่า ตอนเด็กๆ ครอบครัวฉัน เหมือนกับ ครอบครัวชนชั้นกลางดื่นๆแสนอบอุ่นในโฆษณาบ้านจัดสรร อยู่กันพร้อมหน้าพ่อแม่ลูก นั่งดูโทรทัศน์ร่วมกันหลังมื้อเย็น ซึ่งฉันมักหนุนตักแม่ดูละครหลังข่าวเสมอๆ
ในขณะที่นางเอกพราวเสน่ห์ค่อยๆช้อนหน้าขึ้นสบตากับพระเอกก่อนที่จะเผยอปากสีรูจเข้าประชิดปากฝ่ายตรงข้าม โลกทั้งใบก็มึดสนิทไปครู่หนึ่ง ด้วยฝ่ามือของแม่ที่กำลังปิดตาฉันเสียแน่น มีแต่เสียงของเจ้าหล่อนที่ฟังไม่ได้ศัพท์ เคล้าไปกับเสียงแซกโซโฟนที่คลออ้อยอิ่งไกลๆ
“เมื่อกี้ชนะชลทำอะไรเมขลาหรอแม่” ฉันกระเซ้าถามถึงภาพปริศนาหลังมือแม่
“เอาไว้ลูกโตก่อนแล้วค่อยรู้ก็แล้วกัน”
“……”




หลังจากนั้นฉันเฝ้าใฝ่หาคำตอบว่า ต้นเสียงที่ว่ารูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร มันช่างลึกลับ น่าค้นหา เหมือนเป็นการผจญภัยในดินแดนใดสักแห่ง จนกระทั่งครั้งหนึ่งที่ฉันได้ดูละครตามลำพัง เสียงชวนฉงนประหนึ่งละครวิทยุก็เฉลยแก่สายตาฉันอย่างทะลุปรุโปร่ง ฉันได้แต่ถอนหายใจอย่างผิดหวัง แค่นี้เองหรอกหรอ มันไม่พิสดาร พันลึก เหมือนกับในจิตนาการที่ฟุ้งซ่านก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ดีมันก็ทำให้ฉันรู้สึกว่าได้โตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นไปแล้วอีกก้าวหนึ่ง
การรับรู้และการมีเพศสัมพันธ์เป็นเส้นที่ขีดแบ่งช่วงวัยระหว่างเด็กกับวัยผู้ใหญ่ว่ามีความแตกต่างกันตั้งแต่ไหนแต่ไรมาแล้ว พอเด็กผู้หญิงเริ่มมีระดู ขนเริ่มอุย ก็ถือว่าโตเป็นผู้ใหญ่เต็มที่หาผัวได้แล้ว
เมื่ออายุ 13 – 14 ปีก็ถือว่าโตเป็นหนุ่มเป็นสาว พร้อมที่จะออกเหย้าออกเรือน มีลูกเป็นแรงงานในการทำไรไถ่นา นี่แหละวัฒนธรรมไทย จวบจนเมื่อรับวัฒนธรรมจากตะวันตก ที่เกิดระบบการศึกษาในโรงเรียนและมหาวิทยาลัย เพื่อรองรับอาชีพใหม่ๆที่นำเข้ามาแทนเกษตรกรรม วัยผู้ใหญ่จึงถูกถ่างให้ห่างออกไปอีก แต่ทว่าวัยเจริญพันธุ์กลับถูกย่นให้เร็วขึ้นด้วยเทคโนโลยี อาหารการกิน สิ่งแวดล้อม
ฉันมักได้ยินรัฐพร่ำบ่นเหมือนท่องจำอยู่ทุกสมัยว่า ข้าวเป็นอาหารหลักของคนไทยและสินค้าส่งออกที่สำคัญ แต่รัฐไม่เคยสนับสนุนให้ลูกชาวนาทำนาและผลิตแรงงานแต่กลับให้ไปโรงเรียนเพื่อเรียนคอมพิวเตอร์เวอร์ชั่นวินโดว์ 95 ฝึกพูดภาษาอังกฤษ และเรียนการแต่งฉันท์กาพย์กลอน

กลายเป็นผู้ใหญ่ที่สังคมและรัฐจับตัดผมเกรียนให้มานั่งเรียนหนังสือ ท่องบ่นตำรา สอบเอนทรานซ์ แทนการร่วมเพศ อย่างที่ร่างกายกำหนด กลายเป็นลูกผีลูกคนไม่ใช่ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ขึ้นรถเมล์ก็ไม่มีใครลุกให้นั่งเพราะถือว่าโตแล้ว แต่พอไปเอากันกลับหาว่าเป็นเด็กชิงสุกก่อนห่าม
เป็นสภาวะอิหลักอิเหลื่อที่จะเข้าใจและนิยามตัวตน ซึ่งทำให้วัยรุ่นอยู่ในฐานะ “ความเป็นอื่น” ในสังคม แต่กลับคาดหวังในฐานะ “ อนาคตของชาติ ”
วัยรุ่นจึงผูกติดกับ ”ความสับสน” อย่างดิ้นไม่หลุด เพราะอยู่ระหว่างวัยร่วมรักกับวัยเรียนรู้
หน่วยงานที่ดูจะห่วงวัยรุ่นจนน่าเป็นห่วงเสียเอง ได้แก่ หน่วยงานทางภาครัฐชื่อพิลึกกึกกือที่ว่า ศูนย์เฝ้าระวังวัฒนธรรม ณ กระทรวงวัฒนธรรม
ด้วยความกลัววัฒนธรรมจะหล่นหาย ศูนย์เฝ้าระวังจึงพยายามต่อต้านการเอากันของผู้ใหญ่ในวัยเรียนเพราะถือว่าขัดวัฒนธรรมอันประเสริฐของไทย เป็นการดำเนินตามวัฒนธรรมต่างด้าวอย่างลืมกำพืด
ฟังดูราวกับว่าเยาวชนไทยไร้สมอง คิดอะไรเองไม่เป็นต้องเลียนแบบประเทศโลกที่หนึ่ง เหมือนระบบข้าราชการและการศึกษาของไทย และราวกับว่าพลเมืองของรัฐนี้ไม่ปฏิสนธิกัน เพิ่งจะปี้ๆเอาๆกันเป็นก็ตอนหลังทำสนธิสัญญาเบาว์ริ่ง ถึงค่อยมีลูกหลานไว้ดำรงดักดานวัฒนธรรมไทยให้อยู่ได้ถึงทุกวันนี้
ศูนย์เฝ้าระวังวัฒนธรรมจึงกลายเป็นการประจานความไม่เคย ( และจะดูเหมือนว่าจะไม่มีวัน ) เข้าใจในบทบาทหน้าที่รวมไปถึงความหมายองวัฒนธรรม เฝ้าระวังแต่เรื่องร่วมเพศอันเป็นเรื่องของธรรมชาติแต่ไม่ใช่เรื่องวัฒนธรรม
ในฐานะพลเมืองจ่ายภาษีส่งเสียให้พวกท่านมีงบประมาณผลิตนโยบายพิลึกสมชื่อหน่วยงาน ฉันเห็นว่าการแก้ปัญหา ”เพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร” ดูจะก่อการใหญ่ไปเสียหน่อย ขอแนะนำว่าน่าจะทำเรื่องเล็กๆและใกล้ตัวก่อนอย่าง ปัญหา ” เพศสัมพันธ์หลังวัยอันควร ” เพราะเห็นมีป้าคนหนึ่งที่ชอบออกมาจวกดาราวัยรุ่นแต่งตัวโป๊ยั่วกามรมณ์ ซึ่งดูหล่อนชอบพรีเซนต์จังว่าตนเองสวีทกับสามีแทบเป็นแทบตาย จนถึงขั้นต้องกราบเท้าสามีก่อนเข้านอน
เรื่องเพศในความคิดของวัฒนธรรมไทยดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องของคนเอาจู๋ไปจิ้มจิ๋ม หรือ เอาจิ๋มไปคร่อมจู๋ เรื่องล่อนจ้อนล่อนแจ๊ะ และการถูกล่าอาณานิคมทางวัฒนธรรม ซึ่ง ” เป็นอื่น ” จากสังคมไทยอันดีงาม
มันจึงถูกกำจัดออกไปให้พ้นหูพ้นตา แม้แต่คำว่า “อวัยวะเพศ” ยังถูกแทนที่ด้วยคำว่า “อวัยวะในที่ลับ” สร้างความลึกลับ พิศวงเหมือนมีมนต์ดำให้กับอวัยวะเพศ และ ต่ำช้าสาธารณ์ เกินกว่าจะสามารถปรากฏตัวบนพื้นที่สาธารณะได้ เช่นเดียวกับคำว่า “อสุจิ” ที่แปลว่า ไม่สะอาด สกปรก
อันที่จริงแล้ว เพศ ยังเกี่ยวข้องกับเรื่องของชนชั้น การช่วงชิงและบริหารทรัพยากรทางสังคม การกดทับ งัดข้อ และการประกาศถึงอัตลักษณ์
และที่สำคัญมันยังกระบวนการสร้างชาตินิยมสร้างความสมานฉันท์ให้กับคนในประเทศ ที่บรรดาหน่วยงานราชการแห่งประเทศไทยแลนด์โบ้ยว่าวัฒนธรรมโป๊ๆเปลือยๆเป็นของชาติตะวันตก ตัวเบี่ยงเบนวัฒนธรรมอันดีงามเป็นบ่อนทำลายอารยธรรมอันแสนศิวิไลซ์ของสยามประเทศ เหมือนที่โบ้ยว่าทองจากเจดีย์กรุงศรีอยุธยาหายไปเพราะพม่าขโมยไปสร้างเจดีย์ชเวดากอง ทั้งที่จริงแล้วคนไทยนี่แหละลอกเอาไปขายเพราะสภาวะยากจนหลังสงคราม
แต่ในสังคมชาวนาเรื่องเพศไม่ใช่เรื่องสกปรก แต่เป็นเรื่องเพื่อความอุดมสมบูรณ์ มั่งคั่ง เรื่องเพศจึงไม่ใช่เรื่องสกปรกและเป็นการครอบงำของตะวันตก ( colonial ) หากแต่เป็นเรื่องสกปรกของสังคมชันชั้นเจ้าและเป็นการครอบงำของหลังตะวันตก ( post-colonial )
วัฒนธรรมไทยจึงไม่ใช่ของชนชั้นไพร่ แต่เป็นของชนชั้นเจ้า ผู้สมมติเทพ ประหนึ่งเทวดา พระเจ้าผู้ไม่มีวันตาย ตรงกันข้ามกับการร่วมเพศที่การแสดงออกถึงมนุษย์ไม่มีวันเป็นอมตะ แต่ถึงกระนั้นเรื่องเพศกลับถูกห้ามเอ่ยถึงประดุจนามของพระเจ้า
อย่างไรก็ตามต้องชื่นชมกระทวงวัฒนธรรมที่พยายามธำรงรักษาวัฒนธรรมชนชั้นสูงโดยให้ชนชั้นล่างและกลางเป็นผู้ปฏิบัติ
เซ็กซ์จึงยังคงสิ่งแปลกปลอมที่ถูกพัดลอยมาจากลมตะวันตก และถูกวางไว้บนหอคอยงาช้าง หรืออย่างน้อยที่สุด บนตำแหน่งเดียวกับยาปราบวัชพืช ต้องวางให้อยู่พ้นมือเด็ก เพราะทันที่ที่เด็กไม่ประสาคว้าไป อาจถึงตายได้
เพราะเด็กนั้น อยู่ในสภาวะไร้เดียวสา บริสุทธิ์ผุดผ่อง และปราศจากเรื่องเพศ แยกไม่ออกว่าจู๋กับไส้ติ่งต่างกันอย่างไร ซึ่งเป็นสภาวะเดียวกับหน่วยงานในกระทรวงวัฒนธรรม

แม่ฉันพูดถูก “เอาไว้โตก่อนแล้วค่อยรู้”

วันเสาร์ที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2551

อ่านหนังสือธรรมะแทนหนังสือโป๊กันเถอะ



ด้วยความที่ถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เล็ก ฉันเป็นจึงคนชอบอ่านหนังสือ ไม่ว่าจะเป็นตำราเรียนของพี่ที่จะเกินวัยฉันสัก3 ปี หนังสือพระนรกสวรรค์วิมานของยาย หนังสือพิมพ์รายสัปดาห์ของพ่อที่หน้าปกชอบขึ้นรูปนักการเมือง มักมีกลิ่นหมึกเหม็นๆกับการ์ตูนเล็กๆในเล่มที่อ่านยังไงก็ไม่เคยขำสักที และหนังสือนิตยสารผู้หญิงของแม่
ตอนเรียนประถมจำได้ว่าทุกเย็นวันศุกร์ หลังจากเลิกเรียนฉันวิ่งแจ้นไปเกาะรั้วโรงเรียนชะโงกหน้าออกไปนอกรั้วอย่างใจจดใจจ่อ ตาจ้องเขม็งไปยังถนนว่าเมื่อไรแม่จะมารับกลับบ้านสักที
วันศุกร์เป็นวันที่ฉันตื่นเต้นกับการได้กลับบ้านมากกว่าทุกวัน ราวกับว่าทุกวันศุกร์แม่จะมารับฉันกลับบ้านช้ากว่าผิดปรกติ เพราะวันนั้นแม่จะหยิบหนังสือ “ สตรีสาร ” ที่ลงแผงของทุกสุดสัปดาห์มาด้วย ทุกครั้งที่ฉันเริ่มอ่าน ฉันจะรีบเปิดกลางเล่มเพื่อดูว่าส่วนที่เป็นของเด็กนั้นมีอะไรบ้างๆ แล้วฉันก็จะค่อยๆอ่านคอลัมน์อื่นๆของผู้ใหญ่ก่อน แล้วเก็บคอลัมน์หน้ากลางไว้หลังสุดเพื่อความตื่นเต้น
เมื่อนิตยสารในดวงใจปิดตัวลงกลายเป็นตำนาน พร้อมกับวัยเด็กอันใสซื่อของฉัน เมื่อโตขึ้น ฉันก็เปลี่ยนนิตยสารอ่านเรื่อยๆ โดยดูจากนายแบบที่ขึ้นปก โดยเฉพาะช่วงเดือนมีนา – เมษาดารดาษนายแบบกำยำในชุดว่ายน้ำวาบหวิวจนฉันแทบเหมาหมดแผง และขวบวัยนี้เองที่ฉันเริ่มซื้อหนังสือโป๊มาอ่านและดู
ด้วยความที่เป็นคนรักการอ่าน หนังสือโป๊ที่แอบซื้อมา ฉันจึงชอบอ่านส่วนที่เป็นประสบการณ์ ( ปลอมๆ ) พวกเรื่องแต่งชวนเสียวมากกว่าดูภาพนายแบบล่ำๆหล่อๆกับไอ้จ้อนบวมเป่งเต่งตึง
หนังสือโป๊พวกนี้ผูกพันมากับฉันมาตั้งแต่อายุฉันเกินหนึ่งรอบ เพื่อนฉันมักถามว่า เวลาไปซื้อไม่อายคนขายหรอ ฉันก็ได้แต่ระล่ำระลักตอบไม่ถูก เพราะความอายของฉันมันหายไปตั้งแต่มีวัยเจริญพันธุ์เข้ามาแทนที่ ฉันได้แค่ตอบไปว่า
...คนขายมันยังไม่อายเลย คนซื้อจะอายทำไม...
หนังสือโป๊ทำให้ฉันหลงใหลในรูปร่างผู้ชาย และ “ ความเป็นชาย ” อันฝันเฟื่อง นายแบบหน้าตาคมสัน สูงใหญ่ รอยสักฝีมือดีมีราคาบนแขนและแผงอกที่หนั่นไปด้วยกล้ามเนื้อดูกำยำ ผิวขาวเนียนตัดไรขนสะดือและหน้าอกเส้นบางๆ บวกกับเครื่องเพศที่ขนาดเท่าสากกระเบือ
โอ๊ย!! พูดแล้วน้ำลายสอ
ที่ฉันพรรณนาไปเป็นรูปร่างหน้าตาที่ฉันอยากได้มาเป็นควง และเป็นรูปร่างหน้าตาที่คนที่ฉันควงด้วยหลายคนอยากจะมี เพียงแต่เป็นความอยากที่ได้แต่อยาก เพราะมันไม่เคยสมอยาก จะมีเพียงมนุษย์ไม่กี่คนบนโลกเท่านั้นที่จะมีได้ ตั้งแต่ฉันเด็กจนโตฉันยังไม่เคยเห็นคนที่มีรูปร่างแบบนั้นจริงๆในชีวิตแต่ละวัน
เพราะมันหายากกี่ล้านคนมันจะผุดขึ้นมาสักคน แต่ยังไงก็ยากไม่เท่าหนังสือโป๊ ที่แสนจะหาง่ายกว่า แต่ก็ใช่ว่าง่ายเสมอไป เพราะจะต้องหลบซ่อนตามตรอกซอกซอยที่อับมืด จนกลัวถูกดักฉุดมากกว่าถูกตำรวจจับ แต่จะเรียกว่าหายากก็ไม่ยากไม่ได้ เพราะคนประเภทที่คุ้นเคยจน ” รู้กลิ่น ” อย่างฉัน เรื่องแบบนี้มันเป็นพรแสวง
วันหนึ่งฉันไปฟังสวดงานศพที่วัดสักแห่งใกล้ร้านหนังสือโป๊ที่ฉันคุ้นเคย ของชำร่วยเป็นหนังสือธรรมะเล่มบาง ขากลับฉันอ่านฆ่าเวลาระหว่างรถติด หนังสือปะเภทนี้เวลาอ่านรู้สึกต้องแอบอ่านยังไงไม่รู้ รู้สึกเคอะเขินเหมือนอ่านหนังสือโป๊ชอบกล
ในหนังสือธรรมะ มันก็บอกอยู่แล้วว่าเนื้อหาก็ต้องเป็นธรรมะ สอนให้คนดีเหมือนกันทุกเล่ม ถ้าไม่ใช่คอหนังสือพวกนี้ก็จะไม่รู้หรอกว่าแต่ละเล่มต่างกันอย่างไร เหมือนหนังสือโป๊แหละที่แต่ละเล่มมันก็ให้ดูแต่คนเอากัน และเครื่องเพศชายก็เท่านั้น
หนังสือศาสนาที่ฉันอ่านอยู่ คล้ายๆกับเล่มอื่นๆที่ฉันเคยเปิดผ่านๆ ที่บอกว่าศีลธรรมที่ควรจะมี และ ทำความดีที่ควรทำเป็นอย่างไรมีอะไรบ้าง ดังที่ศาสดาเป็นและบอกให้ทำ ศาสดาจึงเปรียบเสมือน role model ที่ผู้อ่านหนังสือธรรมะสมควรลอกเลียนแบบและใฝ่ฝันที่จะเหมือนอย่างเขา
อารมณ์เดียวกับหนังสือหนังสือโป๊ ที่ฉันอยากเหลือเกินที่จะได้ผู้ชายที่เหมือนนายแบบในหนังสือโป๊และอยากจะเป็นเหมือนนางแบบพวกนั้นในหนังสือที่พวกหล่อนแลดู “ สูงยาวเข่าดี ” “ ขาวหมวยสวยอึ๋ม ” ผู้บริโภคหนังสือโป๊หลายคนก็คงเหมือนกับฉัน ที่อยาก ” เป็น ” ในสิ่งที่ “ ควรเป็น ” ทว่ายากเหลือเกินที่จะได้เป็นและอันที่จริงฉันเกิดมาก็ไม่เคยเห็นใครเป็นอย่างในหนังสือมันว่าสักที
ทั้งหนังสือโป๊และหนังสือพระ จึงเต็มไปด้วยมนุษย์ในอุดมคติ ล่องลอยอยู่ในความเพ้อฝัน และจินตนาการ แม้แต่รูปของศาสดายังเป็นรูปที่เกิดจากการจินตนาการไม่ใช่รูปตัวตนจริงๆ
ผู้ชายฉีดเจ้าโลกให้ใหญ่ขึ้นเข้าฟิตเนสทุกเย็นเพื่อให้มีกล้ามกำยำ ผู้หญิงเสริมอึ๋มและลดน้ำหนักอย่างเอาเป็นเอาตาย จึงไม่ต่างอะไรกับคุณตาคุณยายที่อ่านหนังสือธรรมะแล้วปฏิบัติธรรม เข้าวัดทำบุญ
เพราะทั้งคู่ก็นำเอาคนกลุ่มน้อยมาเป็น role model ให้คนส่วนใหญ่พยายามทำตามและลอกเลียนเพื่อให้เป็นดังที่หวังและจินตนาการ
ด้วยเหตุประการฉะนี้ หนังสือโป๊ กับ หนังสือพระ จึงไม่ต่างกัน
จะต่างกันบ้างตรงที่ หนังสือพระหาซื้อง่ายกว่าและราคาถูกกว่า วางแผงในที่ปลอดภัยกว่า แถมไม่ต้องซื้อแบบหลบๆซ่อนๆอย่างระแวงระวัง แถมหนังสือพระก็มีแจกทั่วไปในงานศพอย่างที่หนังสือโป๊ทำไม่ได้
เพราะฉะนั้น ...อ่านหนังสือธรรมะแทนหนังสือโป๊กันเถอะ

วันศุกร์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2551

เนื้อคู่

“ คงเป็นงพรหมลิขิตที่บันดาลให้เรามาพบกันค่ะ ”
“ เราเกิดมาคู่กันจริงๆครับ ”

โอย..รีบพูดให้จบๆสักทีหนึ่งเถอะ แขกเหรื่อจะได้กินกันต่อ กำลังอร่อย ไม่มีใครอยากมานั่งฟังคู่รักคู่อื่นมาพร้ำเพ้อเจ้อ เรื่องส่วนตัวกันหรอกย่ะ ฉันนั่งหงุดหงิดแกมริษยา ยิ่งเห็นเวลานังเจ้าสาวนั่นพยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้เลอะเมคอัพที่หล่อนจ้างมาหลายพันเพื่อสวยเพียงในรอบ 4 ชั่วโมง เห็นแล้วอยากจะจิกหัวมาโขกกับน้ำแข็งรูปหัวใจกลางห้องบอลลูมให้หายตาร้อน
ชาตินี้ฉันคงไม่เคยเป็นเจ้าของงานพรรค์นี้ได้หรอก เพราะระยะเวลาความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับผู้ชายมากสุดมีหน่วยเป็นเดือน ไม่เคยมีหน่วยเป็นปีสักที อันที่จริงฉันอยากแต่งงานสักปีละครั้ง เพราะชุดเจ้าสาวสวยๆมีหลายแบบที่ฉันอยากใส่
มันไม่ยุติธรรมกันเลยว่าไหม ในเมื่อชุดเจ้าสาวสวยๆมีตั้งหลายชุดแต่เราใส่ได้แค่ชุดเดียวไปตลอดชีวิต เพียงเพราะการแต่งงานคือการที่คน2คนจะใช้ชีวิตในฐานะคนรักอยู่คู่กันไปตลอด เป็นเนื้อคู่กันและกันดังที่พระพรหมทรงลิขิตเอาไว้
มันเป็นตรรกะที่น่าจะได้รับมาจากชาวคริสต์ตะวันตก ที่แต่งงานกันแล้วไม่สามารถหย่ากันได้เพราะถือว่าทั้งคู่ปฏิญาณต่อพระพักตร์พระผู้เป็นเจ้าแล้วว่าจะเป็นคู่ผัวตัวเมียกันไปตลอดจนกว่าชีวิตจะหาไม่
เหมือนกับคำว่าเนื้อคู่ ที่บอกอยู่ว่ามีกันแค่2 เป็นค่านิยมไทยปนเทศที่ได้มาเมื่อรัชกาลที่ 6 สร้างค่านิยมผัวเดียวเมียเดียวในสังคมให้มีการสมรสเป็นคู่ที่ถูกต้องตามกฎหมาย แน่ๆ
คำว่า “เนื้อคู่” “ พรหมลิขิต ” คำพวกนี้ฉันได้ยินบ่อยๆในงานวิวาห์ นอกจากจะชวนเลี่ยนเอียนแล้ว ยังเป็นสิ่งที่ไม่เคยมีใครบนโลกได้พานพบสักครั้งทั้งพรหมและเนื้อคู่ แม้จะแต่งงานอยู่กินจนแก่เฒ่า แม้จะเคยผ่านศาลพระภูมิหรือสี่แยกราชประสงค์ ก็ไม่มีใคร บอกกับคนอื่นได้ตรงๆว่าฉันพบเนื้อคู่หรือพรหมจริงๆเข้าแล้ว
เพราะเนื้อคู่เป็นคนๆเดียวกับที่พรหมลิขิตให้มาคบกัน ที่จะอยู่ด้วยกันไปตลอดจนกว่าชีวิตจะหาไม่ สิ่งที่พิสูจน์ได้ว่าเขาอยู่กับเราไปตลอดลมหายใจของเราก็ต่อเมื่อเราตาย เพราะฉะนั้น เนื้อคู่จึงเป็นสิ่งที่เจ้าของพิสูจน์ไม่ได้เลยตลอดชีวิต ที่ยังมีลมหายใจอยู่ เหมือนที่เราจะได้มีโอกาสเห็นพระพรหมตัวจริงเสียงจริงเมื่อตอนตาย
พูดง่ายๆมันไม่มีอยู่จริงจากประสบการณ์ของเรา ฉันจึงไม่มีทางรู้ได้เลยว่าไอ้หมอนี่ที่ฉันคบหาอยู่ด้วยมันเป็นเนื้อคู่ฉันจริงๆหรือเปล่า
คนที่ ( เชื่อว่า ) รู้อนาคตได้จึงกลายเป็นที่พึ่งของคนที่อยากมั่นใจว่าคนๆนี้ใช่เนื้อคู่กูจริงไหม จึงไม่น่าแปลกใจหากเรื่องความรักความใคร่จะเป็นเรื่องอันดับต้นๆที่จะถามหมอดู
“ หมอดูบอกว่าอีก 5 ปีฉันถึงจะได้แต่ง ช่วงนี้ฉันขอฟันผู้ชายไปเรื่อยๆฆ่าเวลาก่อนดีกว่า ” เพื่อนสาวคนหนึ่งพูดกับฉันระหว่างดูคู่วิวาห์ตัดขนมเค้กเชยๆนั่นๆ
ฉันว่าบุพเพสันนิวาส เนื้อคู่หรือพรหมลิขิต มันเป็นวาทกรรมคล้ายๆเวรกรรมแต่ชาติปางก่อนหรือพระเจ้าเป็นผู้กำหนด ที่ทำให้เราเชื่อว่าชีวิตของมนุษย์มีมือที่มองไม่เห็น ( invisible hand ) มากำหนดควบคุมอยู่ซึ่งไม่สามารถขบถขัดขืนมันได้ เป็นวาทกรรมวาทเวรที่ผลิตขึ้นเพื่อสร้างความชอบธรรมให้คนหนึ่งกับคนอีกคนหนึ่งอยู่ด้วยกันไปตลอดอย่างไม่ตั้งคำถามสงสัยหรือมิบังอาจเปลี่ยนแปลงมัน
ฉันว่า คนเรามันมีวิถีทางในการดำเนินชีวิตต่อไปในอนาคตมีตัวแปรต่างๆมากมาย แต่คนรักเนี่ยะเป็นตัวแปรที่ควบคุมไม่ได้เลยจริงๆ ไม่รู้ว่าเลิกร้างกัน หรือล้มหายตายจากกันเมื่อไร และจะพลิกชีวิตเราไปมากน้อยขนาดไหน ฉันอาจจะโชคดีมีดวงชาตรีอุปถัมภ์ได้ไฮโซหนุ่มเป็นสามี แต่ก็ไม่แน่ฉันอาจจะไปคว้าไอ้หยำเปหน้าปากซอยมาทำผัวให้มันซ้อมทุกคืนหลังเมา หรือบางทีเด็กนักศึกษาที่คั่วกันอยู่ตอนนี้อาจจะหลอกแดกจนอิ่มแล้วทิ้งฉันให้เสียผู้เสียคนไปก็ได้ ใครจะไปรู้
เพราะฉะนั้นสิ่งที่จะประกันความมั่นใจได้ดีที่สุดว่าสามารถควบคุมให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะสามารถทำได้ก็คือ “ เพราะเราเป็นเนื้อคู่กัน หรือพรหมลิขิตท่าเขียนไว้แล้ว ” นี่แหละข้อดีของมัน
เรื่องของบุเพสันนิวาส พระบางรูปบอกว่า เป็นเพราะชาติที่แล้วทั้ง2 เคยเป็นคู่ครองกันมาก่อน ทำบุญร่วมกันไว้ ชาตินี้เลยได้ร่วมเสวยบุญร่วมกัน คราวนี้คงไม่ใช่เอาศาสนาความเชื่อมาสร้างความชอบธรรมคู่รักอยู่ร่วมกันไปตลอดเหมือนพรหมลิขิต แต่ความรักกลับถูกนำมารับใช้สถาบันทางศาสนา เราจึงต้องลากแฟนมาด้วยเพื่อที่จะได้เป็นคู่บุญคู่กรรมกันไปในชาติภพถัดๆไป สรุปว่าผลดีตกอยู่ที่วัด ได้ปัจจัยเพิ่มแทนที่จะได้จากคนเดียว
แล้วถ้าชาติปางก่อนมีจริง มนุษยชาติมันก็ต้องมีปริมาณในอัตราคงที่ ทำไมจำนวนประชากรมันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆล่ะ มันโผล่มาจากไหนกัน
แต่พวกที่บอกว่า เนื้อคู่กัน หน้าจะเหมือนกัน คงเป็นพวกเจ้าแน่ๆเลย ที่ชอบสืบพันธุ์กันในเครือญาติพี่น้องกัน ไม่เชื่อไปอ่านพุทธประวัติ หรือ พงศาวดาร ประวัติชนชั้นสูงดูสิ ไพร่อย่างฉันจะหาใครหน้าเหมือนก็ยาก อีกอย่างฉันออกจะขี้ริ้วขี้เหร่ขนาดนี้ ถ้ามีคนหน้าเหมือนฉันมาจีบ... ให้ตายเหอะทำใจไม่ได้
วันก่อนอ่านหนังสือเรื่องแต่งงานข้ามเชื้อชาติอะไรสักอย่าง ในรัฐจารีตอโยธยาสมัยพระนารายณ์มหาราช พระเพทราชา ที่กลัวคนไทยจะถูกกลืนเชื้อชาติ ศาสนา เข้ารีตเป็นศาสนาอื่น จนต้องออกกฎไม่ให้แต่งงามข้ามชาติโดยเฉพาะชาวตะวันตกคริสต์ศาสนิกชน มิฉะนั้นถูกประหารชีวิตทั้งคนแต่งและประยูรญาติ เขาถึงบอกไงให้แต่งงานกับคนหน้าเหมือนกัน
เรื่องของพรหมลิขิต บุพเพสันนิวาส ว่ากันบ่อยๆว่าเป็นเรื่องของความรักที่ไร้ขอบเขต ปราศจากพรมแดน ถึงขนาดเขาสูงบังกั้นไว้ รักยังได้บูชา
แต่น่าแปลกที่ฉันไม่เคยเห็นลูกคุณหนูไฮโซคนไหนเป็นเนื้อคู่กับสามล้อถีบกาฬสินธุ์ หรือ อธิการบดีเป็นเนื้อคู่กับกับพาลโรงในมหาวิทยาลัยสักที
ฉันไม่เคยเจอพรหมลิขิตหรอก เจอแต่ผีลิขิตสิไม่ว่า ออกตระเวนราตรีทีไรเป็นอันต้องได้ผู้ชายมาควงทุกที เจ้าบ่าวบนเวทีน่ะ เมื่อเร็วๆนี้ฉันก็เคยเป็นคั่วกับเขาหลังผับเลิกนะยะ
“ ชิส์... พรหมลิขิตเอย เนื้อคู่เอย เพ้อเจ้อ หลับหูหลับตาพูดรึไงย่ะ มันก็แค่สิ่งที่มาสร้างเสถียรภาพให้กับความรักโรแมนติกแบบวิคตอเรียน” ฉันเริ่มตระโกนในใจตามประสาตัวอิจฉา ฉันเริ่มพาล “ ผู้ชายข้างๆหล่อนก็จะเป็นเจ้าบ่าวแค่วันนี้วันเดียวเท่านั้น และหลังจากนั้น คนที่จะเป็นบ่าวไปชั่วชีวิตก็คือหล่อนแหละย่ะ ” หางตาฉันส่งค้อนไปยังเวทีหนึ่งที “ หล่อนจะกลายเป็นแม่และเมียในมุ้งในครัวล้างจานถูบ้านซักผ้าหัวฟูจนไม่มีเวลาแต่งสวยหรอก มีสามีไว้ให้ตัวเองเป็นทาสหรือยะ สามีมันแปลว่าเจ้านายไม่รู้รึไง นัง.... ว้ายยยย!!! ถึงเวลาเจ้าสาวโยนช่อดอกไม้แล้ว รีบไปรอรับดีกว่า ”