วันศุกร์ที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2551

เนื้อคู่

“ คงเป็นงพรหมลิขิตที่บันดาลให้เรามาพบกันค่ะ ”
“ เราเกิดมาคู่กันจริงๆครับ ”

โอย..รีบพูดให้จบๆสักทีหนึ่งเถอะ แขกเหรื่อจะได้กินกันต่อ กำลังอร่อย ไม่มีใครอยากมานั่งฟังคู่รักคู่อื่นมาพร้ำเพ้อเจ้อ เรื่องส่วนตัวกันหรอกย่ะ ฉันนั่งหงุดหงิดแกมริษยา ยิ่งเห็นเวลานังเจ้าสาวนั่นพยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้เลอะเมคอัพที่หล่อนจ้างมาหลายพันเพื่อสวยเพียงในรอบ 4 ชั่วโมง เห็นแล้วอยากจะจิกหัวมาโขกกับน้ำแข็งรูปหัวใจกลางห้องบอลลูมให้หายตาร้อน
ชาตินี้ฉันคงไม่เคยเป็นเจ้าของงานพรรค์นี้ได้หรอก เพราะระยะเวลาความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับผู้ชายมากสุดมีหน่วยเป็นเดือน ไม่เคยมีหน่วยเป็นปีสักที อันที่จริงฉันอยากแต่งงานสักปีละครั้ง เพราะชุดเจ้าสาวสวยๆมีหลายแบบที่ฉันอยากใส่
มันไม่ยุติธรรมกันเลยว่าไหม ในเมื่อชุดเจ้าสาวสวยๆมีตั้งหลายชุดแต่เราใส่ได้แค่ชุดเดียวไปตลอดชีวิต เพียงเพราะการแต่งงานคือการที่คน2คนจะใช้ชีวิตในฐานะคนรักอยู่คู่กันไปตลอด เป็นเนื้อคู่กันและกันดังที่พระพรหมทรงลิขิตเอาไว้
มันเป็นตรรกะที่น่าจะได้รับมาจากชาวคริสต์ตะวันตก ที่แต่งงานกันแล้วไม่สามารถหย่ากันได้เพราะถือว่าทั้งคู่ปฏิญาณต่อพระพักตร์พระผู้เป็นเจ้าแล้วว่าจะเป็นคู่ผัวตัวเมียกันไปตลอดจนกว่าชีวิตจะหาไม่
เหมือนกับคำว่าเนื้อคู่ ที่บอกอยู่ว่ามีกันแค่2 เป็นค่านิยมไทยปนเทศที่ได้มาเมื่อรัชกาลที่ 6 สร้างค่านิยมผัวเดียวเมียเดียวในสังคมให้มีการสมรสเป็นคู่ที่ถูกต้องตามกฎหมาย แน่ๆ
คำว่า “เนื้อคู่” “ พรหมลิขิต ” คำพวกนี้ฉันได้ยินบ่อยๆในงานวิวาห์ นอกจากจะชวนเลี่ยนเอียนแล้ว ยังเป็นสิ่งที่ไม่เคยมีใครบนโลกได้พานพบสักครั้งทั้งพรหมและเนื้อคู่ แม้จะแต่งงานอยู่กินจนแก่เฒ่า แม้จะเคยผ่านศาลพระภูมิหรือสี่แยกราชประสงค์ ก็ไม่มีใคร บอกกับคนอื่นได้ตรงๆว่าฉันพบเนื้อคู่หรือพรหมจริงๆเข้าแล้ว
เพราะเนื้อคู่เป็นคนๆเดียวกับที่พรหมลิขิตให้มาคบกัน ที่จะอยู่ด้วยกันไปตลอดจนกว่าชีวิตจะหาไม่ สิ่งที่พิสูจน์ได้ว่าเขาอยู่กับเราไปตลอดลมหายใจของเราก็ต่อเมื่อเราตาย เพราะฉะนั้น เนื้อคู่จึงเป็นสิ่งที่เจ้าของพิสูจน์ไม่ได้เลยตลอดชีวิต ที่ยังมีลมหายใจอยู่ เหมือนที่เราจะได้มีโอกาสเห็นพระพรหมตัวจริงเสียงจริงเมื่อตอนตาย
พูดง่ายๆมันไม่มีอยู่จริงจากประสบการณ์ของเรา ฉันจึงไม่มีทางรู้ได้เลยว่าไอ้หมอนี่ที่ฉันคบหาอยู่ด้วยมันเป็นเนื้อคู่ฉันจริงๆหรือเปล่า
คนที่ ( เชื่อว่า ) รู้อนาคตได้จึงกลายเป็นที่พึ่งของคนที่อยากมั่นใจว่าคนๆนี้ใช่เนื้อคู่กูจริงไหม จึงไม่น่าแปลกใจหากเรื่องความรักความใคร่จะเป็นเรื่องอันดับต้นๆที่จะถามหมอดู
“ หมอดูบอกว่าอีก 5 ปีฉันถึงจะได้แต่ง ช่วงนี้ฉันขอฟันผู้ชายไปเรื่อยๆฆ่าเวลาก่อนดีกว่า ” เพื่อนสาวคนหนึ่งพูดกับฉันระหว่างดูคู่วิวาห์ตัดขนมเค้กเชยๆนั่นๆ
ฉันว่าบุพเพสันนิวาส เนื้อคู่หรือพรหมลิขิต มันเป็นวาทกรรมคล้ายๆเวรกรรมแต่ชาติปางก่อนหรือพระเจ้าเป็นผู้กำหนด ที่ทำให้เราเชื่อว่าชีวิตของมนุษย์มีมือที่มองไม่เห็น ( invisible hand ) มากำหนดควบคุมอยู่ซึ่งไม่สามารถขบถขัดขืนมันได้ เป็นวาทกรรมวาทเวรที่ผลิตขึ้นเพื่อสร้างความชอบธรรมให้คนหนึ่งกับคนอีกคนหนึ่งอยู่ด้วยกันไปตลอดอย่างไม่ตั้งคำถามสงสัยหรือมิบังอาจเปลี่ยนแปลงมัน
ฉันว่า คนเรามันมีวิถีทางในการดำเนินชีวิตต่อไปในอนาคตมีตัวแปรต่างๆมากมาย แต่คนรักเนี่ยะเป็นตัวแปรที่ควบคุมไม่ได้เลยจริงๆ ไม่รู้ว่าเลิกร้างกัน หรือล้มหายตายจากกันเมื่อไร และจะพลิกชีวิตเราไปมากน้อยขนาดไหน ฉันอาจจะโชคดีมีดวงชาตรีอุปถัมภ์ได้ไฮโซหนุ่มเป็นสามี แต่ก็ไม่แน่ฉันอาจจะไปคว้าไอ้หยำเปหน้าปากซอยมาทำผัวให้มันซ้อมทุกคืนหลังเมา หรือบางทีเด็กนักศึกษาที่คั่วกันอยู่ตอนนี้อาจจะหลอกแดกจนอิ่มแล้วทิ้งฉันให้เสียผู้เสียคนไปก็ได้ ใครจะไปรู้
เพราะฉะนั้นสิ่งที่จะประกันความมั่นใจได้ดีที่สุดว่าสามารถควบคุมให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะสามารถทำได้ก็คือ “ เพราะเราเป็นเนื้อคู่กัน หรือพรหมลิขิตท่าเขียนไว้แล้ว ” นี่แหละข้อดีของมัน
เรื่องของบุเพสันนิวาส พระบางรูปบอกว่า เป็นเพราะชาติที่แล้วทั้ง2 เคยเป็นคู่ครองกันมาก่อน ทำบุญร่วมกันไว้ ชาตินี้เลยได้ร่วมเสวยบุญร่วมกัน คราวนี้คงไม่ใช่เอาศาสนาความเชื่อมาสร้างความชอบธรรมคู่รักอยู่ร่วมกันไปตลอดเหมือนพรหมลิขิต แต่ความรักกลับถูกนำมารับใช้สถาบันทางศาสนา เราจึงต้องลากแฟนมาด้วยเพื่อที่จะได้เป็นคู่บุญคู่กรรมกันไปในชาติภพถัดๆไป สรุปว่าผลดีตกอยู่ที่วัด ได้ปัจจัยเพิ่มแทนที่จะได้จากคนเดียว
แล้วถ้าชาติปางก่อนมีจริง มนุษยชาติมันก็ต้องมีปริมาณในอัตราคงที่ ทำไมจำนวนประชากรมันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆล่ะ มันโผล่มาจากไหนกัน
แต่พวกที่บอกว่า เนื้อคู่กัน หน้าจะเหมือนกัน คงเป็นพวกเจ้าแน่ๆเลย ที่ชอบสืบพันธุ์กันในเครือญาติพี่น้องกัน ไม่เชื่อไปอ่านพุทธประวัติ หรือ พงศาวดาร ประวัติชนชั้นสูงดูสิ ไพร่อย่างฉันจะหาใครหน้าเหมือนก็ยาก อีกอย่างฉันออกจะขี้ริ้วขี้เหร่ขนาดนี้ ถ้ามีคนหน้าเหมือนฉันมาจีบ... ให้ตายเหอะทำใจไม่ได้
วันก่อนอ่านหนังสือเรื่องแต่งงานข้ามเชื้อชาติอะไรสักอย่าง ในรัฐจารีตอโยธยาสมัยพระนารายณ์มหาราช พระเพทราชา ที่กลัวคนไทยจะถูกกลืนเชื้อชาติ ศาสนา เข้ารีตเป็นศาสนาอื่น จนต้องออกกฎไม่ให้แต่งงามข้ามชาติโดยเฉพาะชาวตะวันตกคริสต์ศาสนิกชน มิฉะนั้นถูกประหารชีวิตทั้งคนแต่งและประยูรญาติ เขาถึงบอกไงให้แต่งงานกับคนหน้าเหมือนกัน
เรื่องของพรหมลิขิต บุพเพสันนิวาส ว่ากันบ่อยๆว่าเป็นเรื่องของความรักที่ไร้ขอบเขต ปราศจากพรมแดน ถึงขนาดเขาสูงบังกั้นไว้ รักยังได้บูชา
แต่น่าแปลกที่ฉันไม่เคยเห็นลูกคุณหนูไฮโซคนไหนเป็นเนื้อคู่กับสามล้อถีบกาฬสินธุ์ หรือ อธิการบดีเป็นเนื้อคู่กับกับพาลโรงในมหาวิทยาลัยสักที
ฉันไม่เคยเจอพรหมลิขิตหรอก เจอแต่ผีลิขิตสิไม่ว่า ออกตระเวนราตรีทีไรเป็นอันต้องได้ผู้ชายมาควงทุกที เจ้าบ่าวบนเวทีน่ะ เมื่อเร็วๆนี้ฉันก็เคยเป็นคั่วกับเขาหลังผับเลิกนะยะ
“ ชิส์... พรหมลิขิตเอย เนื้อคู่เอย เพ้อเจ้อ หลับหูหลับตาพูดรึไงย่ะ มันก็แค่สิ่งที่มาสร้างเสถียรภาพให้กับความรักโรแมนติกแบบวิคตอเรียน” ฉันเริ่มตระโกนในใจตามประสาตัวอิจฉา ฉันเริ่มพาล “ ผู้ชายข้างๆหล่อนก็จะเป็นเจ้าบ่าวแค่วันนี้วันเดียวเท่านั้น และหลังจากนั้น คนที่จะเป็นบ่าวไปชั่วชีวิตก็คือหล่อนแหละย่ะ ” หางตาฉันส่งค้อนไปยังเวทีหนึ่งที “ หล่อนจะกลายเป็นแม่และเมียในมุ้งในครัวล้างจานถูบ้านซักผ้าหัวฟูจนไม่มีเวลาแต่งสวยหรอก มีสามีไว้ให้ตัวเองเป็นทาสหรือยะ สามีมันแปลว่าเจ้านายไม่รู้รึไง นัง.... ว้ายยยย!!! ถึงเวลาเจ้าสาวโยนช่อดอกไม้แล้ว รีบไปรอรับดีกว่า ”