วันพุธที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2551

เอาไว้โตก่อนแล้วค่อยรู้




จำได้ว่า ตอนเด็กๆ ครอบครัวฉัน เหมือนกับ ครอบครัวชนชั้นกลางดื่นๆแสนอบอุ่นในโฆษณาบ้านจัดสรร อยู่กันพร้อมหน้าพ่อแม่ลูก นั่งดูโทรทัศน์ร่วมกันหลังมื้อเย็น ซึ่งฉันมักหนุนตักแม่ดูละครหลังข่าวเสมอๆ
ในขณะที่นางเอกพราวเสน่ห์ค่อยๆช้อนหน้าขึ้นสบตากับพระเอกก่อนที่จะเผยอปากสีรูจเข้าประชิดปากฝ่ายตรงข้าม โลกทั้งใบก็มึดสนิทไปครู่หนึ่ง ด้วยฝ่ามือของแม่ที่กำลังปิดตาฉันเสียแน่น มีแต่เสียงของเจ้าหล่อนที่ฟังไม่ได้ศัพท์ เคล้าไปกับเสียงแซกโซโฟนที่คลออ้อยอิ่งไกลๆ
“เมื่อกี้ชนะชลทำอะไรเมขลาหรอแม่” ฉันกระเซ้าถามถึงภาพปริศนาหลังมือแม่
“เอาไว้ลูกโตก่อนแล้วค่อยรู้ก็แล้วกัน”
“……”




หลังจากนั้นฉันเฝ้าใฝ่หาคำตอบว่า ต้นเสียงที่ว่ารูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร มันช่างลึกลับ น่าค้นหา เหมือนเป็นการผจญภัยในดินแดนใดสักแห่ง จนกระทั่งครั้งหนึ่งที่ฉันได้ดูละครตามลำพัง เสียงชวนฉงนประหนึ่งละครวิทยุก็เฉลยแก่สายตาฉันอย่างทะลุปรุโปร่ง ฉันได้แต่ถอนหายใจอย่างผิดหวัง แค่นี้เองหรอกหรอ มันไม่พิสดาร พันลึก เหมือนกับในจิตนาการที่ฟุ้งซ่านก่อนหน้านี้ อย่างไรก็ดีมันก็ทำให้ฉันรู้สึกว่าได้โตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นไปแล้วอีกก้าวหนึ่ง
การรับรู้และการมีเพศสัมพันธ์เป็นเส้นที่ขีดแบ่งช่วงวัยระหว่างเด็กกับวัยผู้ใหญ่ว่ามีความแตกต่างกันตั้งแต่ไหนแต่ไรมาแล้ว พอเด็กผู้หญิงเริ่มมีระดู ขนเริ่มอุย ก็ถือว่าโตเป็นผู้ใหญ่เต็มที่หาผัวได้แล้ว
เมื่ออายุ 13 – 14 ปีก็ถือว่าโตเป็นหนุ่มเป็นสาว พร้อมที่จะออกเหย้าออกเรือน มีลูกเป็นแรงงานในการทำไรไถ่นา นี่แหละวัฒนธรรมไทย จวบจนเมื่อรับวัฒนธรรมจากตะวันตก ที่เกิดระบบการศึกษาในโรงเรียนและมหาวิทยาลัย เพื่อรองรับอาชีพใหม่ๆที่นำเข้ามาแทนเกษตรกรรม วัยผู้ใหญ่จึงถูกถ่างให้ห่างออกไปอีก แต่ทว่าวัยเจริญพันธุ์กลับถูกย่นให้เร็วขึ้นด้วยเทคโนโลยี อาหารการกิน สิ่งแวดล้อม
ฉันมักได้ยินรัฐพร่ำบ่นเหมือนท่องจำอยู่ทุกสมัยว่า ข้าวเป็นอาหารหลักของคนไทยและสินค้าส่งออกที่สำคัญ แต่รัฐไม่เคยสนับสนุนให้ลูกชาวนาทำนาและผลิตแรงงานแต่กลับให้ไปโรงเรียนเพื่อเรียนคอมพิวเตอร์เวอร์ชั่นวินโดว์ 95 ฝึกพูดภาษาอังกฤษ และเรียนการแต่งฉันท์กาพย์กลอน

กลายเป็นผู้ใหญ่ที่สังคมและรัฐจับตัดผมเกรียนให้มานั่งเรียนหนังสือ ท่องบ่นตำรา สอบเอนทรานซ์ แทนการร่วมเพศ อย่างที่ร่างกายกำหนด กลายเป็นลูกผีลูกคนไม่ใช่ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ขึ้นรถเมล์ก็ไม่มีใครลุกให้นั่งเพราะถือว่าโตแล้ว แต่พอไปเอากันกลับหาว่าเป็นเด็กชิงสุกก่อนห่าม
เป็นสภาวะอิหลักอิเหลื่อที่จะเข้าใจและนิยามตัวตน ซึ่งทำให้วัยรุ่นอยู่ในฐานะ “ความเป็นอื่น” ในสังคม แต่กลับคาดหวังในฐานะ “ อนาคตของชาติ ”
วัยรุ่นจึงผูกติดกับ ”ความสับสน” อย่างดิ้นไม่หลุด เพราะอยู่ระหว่างวัยร่วมรักกับวัยเรียนรู้
หน่วยงานที่ดูจะห่วงวัยรุ่นจนน่าเป็นห่วงเสียเอง ได้แก่ หน่วยงานทางภาครัฐชื่อพิลึกกึกกือที่ว่า ศูนย์เฝ้าระวังวัฒนธรรม ณ กระทรวงวัฒนธรรม
ด้วยความกลัววัฒนธรรมจะหล่นหาย ศูนย์เฝ้าระวังจึงพยายามต่อต้านการเอากันของผู้ใหญ่ในวัยเรียนเพราะถือว่าขัดวัฒนธรรมอันประเสริฐของไทย เป็นการดำเนินตามวัฒนธรรมต่างด้าวอย่างลืมกำพืด
ฟังดูราวกับว่าเยาวชนไทยไร้สมอง คิดอะไรเองไม่เป็นต้องเลียนแบบประเทศโลกที่หนึ่ง เหมือนระบบข้าราชการและการศึกษาของไทย และราวกับว่าพลเมืองของรัฐนี้ไม่ปฏิสนธิกัน เพิ่งจะปี้ๆเอาๆกันเป็นก็ตอนหลังทำสนธิสัญญาเบาว์ริ่ง ถึงค่อยมีลูกหลานไว้ดำรงดักดานวัฒนธรรมไทยให้อยู่ได้ถึงทุกวันนี้
ศูนย์เฝ้าระวังวัฒนธรรมจึงกลายเป็นการประจานความไม่เคย ( และจะดูเหมือนว่าจะไม่มีวัน ) เข้าใจในบทบาทหน้าที่รวมไปถึงความหมายองวัฒนธรรม เฝ้าระวังแต่เรื่องร่วมเพศอันเป็นเรื่องของธรรมชาติแต่ไม่ใช่เรื่องวัฒนธรรม
ในฐานะพลเมืองจ่ายภาษีส่งเสียให้พวกท่านมีงบประมาณผลิตนโยบายพิลึกสมชื่อหน่วยงาน ฉันเห็นว่าการแก้ปัญหา ”เพศสัมพันธ์ก่อนวัยอันควร” ดูจะก่อการใหญ่ไปเสียหน่อย ขอแนะนำว่าน่าจะทำเรื่องเล็กๆและใกล้ตัวก่อนอย่าง ปัญหา ” เพศสัมพันธ์หลังวัยอันควร ” เพราะเห็นมีป้าคนหนึ่งที่ชอบออกมาจวกดาราวัยรุ่นแต่งตัวโป๊ยั่วกามรมณ์ ซึ่งดูหล่อนชอบพรีเซนต์จังว่าตนเองสวีทกับสามีแทบเป็นแทบตาย จนถึงขั้นต้องกราบเท้าสามีก่อนเข้านอน
เรื่องเพศในความคิดของวัฒนธรรมไทยดูเหมือนว่าจะเป็นเรื่องของคนเอาจู๋ไปจิ้มจิ๋ม หรือ เอาจิ๋มไปคร่อมจู๋ เรื่องล่อนจ้อนล่อนแจ๊ะ และการถูกล่าอาณานิคมทางวัฒนธรรม ซึ่ง ” เป็นอื่น ” จากสังคมไทยอันดีงาม
มันจึงถูกกำจัดออกไปให้พ้นหูพ้นตา แม้แต่คำว่า “อวัยวะเพศ” ยังถูกแทนที่ด้วยคำว่า “อวัยวะในที่ลับ” สร้างความลึกลับ พิศวงเหมือนมีมนต์ดำให้กับอวัยวะเพศ และ ต่ำช้าสาธารณ์ เกินกว่าจะสามารถปรากฏตัวบนพื้นที่สาธารณะได้ เช่นเดียวกับคำว่า “อสุจิ” ที่แปลว่า ไม่สะอาด สกปรก
อันที่จริงแล้ว เพศ ยังเกี่ยวข้องกับเรื่องของชนชั้น การช่วงชิงและบริหารทรัพยากรทางสังคม การกดทับ งัดข้อ และการประกาศถึงอัตลักษณ์
และที่สำคัญมันยังกระบวนการสร้างชาตินิยมสร้างความสมานฉันท์ให้กับคนในประเทศ ที่บรรดาหน่วยงานราชการแห่งประเทศไทยแลนด์โบ้ยว่าวัฒนธรรมโป๊ๆเปลือยๆเป็นของชาติตะวันตก ตัวเบี่ยงเบนวัฒนธรรมอันดีงามเป็นบ่อนทำลายอารยธรรมอันแสนศิวิไลซ์ของสยามประเทศ เหมือนที่โบ้ยว่าทองจากเจดีย์กรุงศรีอยุธยาหายไปเพราะพม่าขโมยไปสร้างเจดีย์ชเวดากอง ทั้งที่จริงแล้วคนไทยนี่แหละลอกเอาไปขายเพราะสภาวะยากจนหลังสงคราม
แต่ในสังคมชาวนาเรื่องเพศไม่ใช่เรื่องสกปรก แต่เป็นเรื่องเพื่อความอุดมสมบูรณ์ มั่งคั่ง เรื่องเพศจึงไม่ใช่เรื่องสกปรกและเป็นการครอบงำของตะวันตก ( colonial ) หากแต่เป็นเรื่องสกปรกของสังคมชันชั้นเจ้าและเป็นการครอบงำของหลังตะวันตก ( post-colonial )
วัฒนธรรมไทยจึงไม่ใช่ของชนชั้นไพร่ แต่เป็นของชนชั้นเจ้า ผู้สมมติเทพ ประหนึ่งเทวดา พระเจ้าผู้ไม่มีวันตาย ตรงกันข้ามกับการร่วมเพศที่การแสดงออกถึงมนุษย์ไม่มีวันเป็นอมตะ แต่ถึงกระนั้นเรื่องเพศกลับถูกห้ามเอ่ยถึงประดุจนามของพระเจ้า
อย่างไรก็ตามต้องชื่นชมกระทวงวัฒนธรรมที่พยายามธำรงรักษาวัฒนธรรมชนชั้นสูงโดยให้ชนชั้นล่างและกลางเป็นผู้ปฏิบัติ
เซ็กซ์จึงยังคงสิ่งแปลกปลอมที่ถูกพัดลอยมาจากลมตะวันตก และถูกวางไว้บนหอคอยงาช้าง หรืออย่างน้อยที่สุด บนตำแหน่งเดียวกับยาปราบวัชพืช ต้องวางให้อยู่พ้นมือเด็ก เพราะทันที่ที่เด็กไม่ประสาคว้าไป อาจถึงตายได้
เพราะเด็กนั้น อยู่ในสภาวะไร้เดียวสา บริสุทธิ์ผุดผ่อง และปราศจากเรื่องเพศ แยกไม่ออกว่าจู๋กับไส้ติ่งต่างกันอย่างไร ซึ่งเป็นสภาวะเดียวกับหน่วยงานในกระทรวงวัฒนธรรม

แม่ฉันพูดถูก “เอาไว้โตก่อนแล้วค่อยรู้”