วันเสาร์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

ผู้หญิงไม่กลัวแก่


ทันทีที่เราอายุมากขึ้น ชีวิตก็ยิ่งทวีความซับซ้อนมากขึ้นทั้งความคิดความอ่าน หรือถ้าไม่ใช่สำหรับบางคน อย่างน้อยยศนำหน้าชื่อก็เปลี่ยนไป มีมิติทางเพศก็ปรากฏให้เห็นความซับซ้อนของตัวเรา จากน้องกลายเป็นพี่ จากพี่นานๆเข้าถูกเรียกเป็น “ป้า” ไม่ก็ “ยาย”

แม้จะช่วยบอกวัยวุฒิและความอาวุโสอันเปรียบได้กับเครื่องรางของขัลงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสังคม แต่บางครั้งก็รู้สึกเจ็บจี๊ดๆที่ใจชอบกล เพราะมันรู้สึก ”กูแก่” แน่สิไม่มีใครอยากแก่ ตกกระ นมยาน หนังหน้าเหี่ยวกันหรอก เพราะมันดูน่าเกลียดไม่น่ามอง ความแก่จึงกลายเป็นสิ่งที่ไม่มีใครปรารถนา แต่เป็นสิ่งที่เราหลีกหนีไม่พ้น นอกเสียจากว่าจะชิงตายไปก่อนแก่ แต่แน่ล่ะ...ก็ไม่มีใครกล้าทำ

แม้ว่าสาวๆหลายคนจะไม่อยากแก่แต่ถึงอย่างไรก็ยังอยากมีอายุที่ยืนยาว

ขนาดพระพุทธรูปที่เป็นผู้ชายทั้งดุ้นเองก็ยังไม่ชอบความแก่เฒ่า เราจึงไม่เห็นพระพุทธเจ้าในวัยคุณตา เพราะมันไม่น่ามองไม่มีพุทธศิลป์ และที่สำคัญหล่อปั้นก็ยากกว่า พระพุทธรูปจึงมักจะถูกปั้นถูกวาดให้หนุ่มเสมอ
แม้แต่ตอนอายุ 80 ปี ปางปรินิพพาน ดูผ่านๆยังนึกว่าปางไสยาสน์ ดังนั้นพระพุทธรูปเวอร์ชั่นเหี่ยวที่สุดที่เคยเห็นเคยเห็นคงจะเป็นปางบำเพ็ญทุกรกิริยา แต่ถึงกระนั้นก็ไม่ใช่ความชราภาพ ด้วยเหตุนี้เราจึงไม่สามารถล่วงรู้ขวบวัยของพระพุทธเจ้าได้ด้วยการสังเกตทางกายภาพของรูปปั้นหรือรูปภาพ

อย่าว่าแต่วัยเลย บางครั้งยังอยากที่จะระบุเพศของพระพุทธรูปเสียด้วยซ้ำ

ความแก่ไม่เพียงแต่ ( ถูกกล่าวหาว่า ) ไม่น่ามอง แต่ยังไม่น่าเข้าใกล้ เพราะทุกครั้งที่นั่งรถเมล์เราจึงมักหวังในใจให้คนแก่ไปยืนอยู่ห่างๆ หรืออย่างน้อยก็แกล้งหลัยซะจะได้ไม่ต้องเห็น เพราะความแก่เป็นวัยของความโรยรา ไร้เรี่ยวแรง กระเซาะกระแซะ เจ็บป่วย ต้องพึ่งพิงและนำไปสู่ความตาย

หลายๆคนจึงกลัวแก่เพราะกลัวตาย เพราะนำมาสู่ความตายจริงๆ ยิ่งผู้หญิงในยุคกลางยิ่งตายง่ายกว่าผู้ชาย เพราะผู้หญิงแก่มักเป็นผู้มีวิชาความรู้สั่งสมมานาน จนถูกมองว่าเป็นแม่มด และแน่นอนที่สุด พวกหล่อนต้องถูกจับย่างสด เพราะเป็นภัยแต่ศาสนจักรและอาณาจักร

ถึงอย่างไรความตายก็สตาฟความสวยความเยาว์วัยไว้ได้ มารีลิน มอรโรล หล่อนสวยสาวเป็นดาวค้างฟ้า ก็เพราะหล่อนหนีไปอยู่บนฟ้าก่อนที่จะแก่

แม้จะผ่านยุคกลางมาหลานศตวรรษแล้ว ความแก่นั้นก็ยังคงเป็นภัยเฉพาะเจาะจงกับผู้หญิง เพราะในสังคมที่”นม” กับผู้หญิงถ฿กจับคู่กัน ผู้หญิงยิ่งมีชีวิตอยู่นานๆยิ่งไม่ดี เดี๋ยวมันจะบูดเอา แต่ผู้ชายเขาว่า ยิ่งอายุมากยิ่งดี เหมือนไวน์ที่บ่มไว้นาน

หลายคนโทษสื่อโดยเฉพาะสื่อโทรทัศน์ในสังคมทุนนิยมว่า ทำให้ความแก่เสมือนโรคภัยไข้เจ็บ เช่นเดียวกับความอ้วน ที่ออกมาขายสินค้ากระชับความตึงของผิวหน้าและลบเลือนตีนกาในโฆษณาขั้นละครที่พระเอกนางเอกเป็นวัยรุ่นวัยเรียนแล้วให้คนแก่ๆเล่นบทขี้ข้าคนใช้แม่ค้าและตัวร้าย

แต่ฉันคิดว่าสื่อนี่แหละที่ทำให้ฉันไม่กลัวแก่และอยากแก่ไวๆ

เพราะหลังจากไปดูการดำเนินชีวิตของ 4 สาววัยเลข 4 นำหน้าในเรื่อง Sex And The City The movie แล้วได้ซื้อหนังสือชีวประวัติของหญิงเก่งอย่าง ภัทราวดี มีชูธน กลับมาอ่านที่บ้าน ประกอบกับได้ดูเอ็มวีใหม่ล่าสุดของ Madonna รอดร่ายส่ายสั่นในชุดแอโรบิคกับแดนเซอร์หนุ่มกล้ามโตได้อย่างแสบสันต์ตัณหา

เพราะความแก่และความเก๋าของพวกเธอ ไม่ได้แยกออกจากกันเลย

วันอาทิตย์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

วิทยาศาสตร์ยุคใหม่ ใกล้ชิดประชาชน


วันก่อนฉันถามเพื่อนคนหนึ่งที่เป็นอาจารย์สอนปรัชญาตะวันออกว่า ทำไมนรกต้องร้อนด้วย แล้วทำไมต้องเกี่ยวกับการลวกการเผาหรืออะไรก็ได้ที่อาศัยความร้อน
เขาให้คำตอบว่า “ก็คิดแบบวิทยาศาสตร์ดูสิ ก็ภายใต้พื้นผิวโลกมีอุณหภูมิที่ร้อนกว่าและมีการเผาผลาญมหาศาลไง”

ฉันได้แต่พยักหน้าหงึกๆถึงความเป็นเหตุเป็นผลของมัน ....ว่าแต่ว่า นรกสวรรค์เป็นเรื่องวิทยาศาสตร์ตั้งแต่เมื่อไรกัน…

สำหรับฉันแล้ว นรกสวรรค์และวิทยาศาสตร์ ต่างก็เป็นเรื่องไกลตัวฉันด้วยกันทั้งนั้น เพราะรู้สึกว่ามันอยู่ในวัดในห้องแลบมากกว่าจะมาตั้งอยู่ในบ้านฉัน

ยิ่งเรื่องวิทยาศาสตร์เข้าแล้วยิ่งไกลตัวเข้าไปใหญ่ เพราะเพิ่งจะมาได้ยินตอนเข้าโรงเรียนแต่เรื่องนรกสวรรค์ชั้นฟ้าผีเปรตเจตภูติฉันได้ยินมาตั้งแต่อ้อนแต่ออก

มาพักหลังๆพอได้ยินแนวคิด “กระทรวงวิทยาศาสตร์ยุคใหม่ ใกล้ชิดประชาชน” ทำให้ฉันใจชื้นขึ้น เพราะองค์ความรู้ที่อยู่บนหอคอยงาช้างจะได้ถูกสอยลงมาให้ทำความรู้จักเสียที หรืออย่างน้อยที่สุดเรื่องที่ดูเหมือนว่าจะผูกขาดอยู่กับคนนุ่งชุดกาวน์ถือหลอดทดลอง จะได้กระจายมายังคนนุ่งกระโจงอกถือตะหลิวนอยู่แต่บ้านอย่างฉัน และพวก ไนตรัสออกไซด์ กรดซัลฟิวรัส โปรตอน อิเล็กตรอน หรือที่ชื่อแปลกๆจำยากพวกนี้จะได้มาเป็นสมาชิกใหม่ในชีวิตประจำวันของเราสักวัน

ว่าแต่ว่าวิทยาศาสตร์ยุคใหม่นี่มันเป็นยังไงกันหว่า

ฉันพอจะรู้ความหมายของวิทยาศาสตร์เฉยๆว่า “ความรู้” เพราะมันตรงกับภาษาอังกฤษคำว่า science ซึ่งมาจากภาษาลาติน scientia ที่แปลว่าความรู้ และมันคำว่า “วิทยา” และ “ศาสตร์” ต่างก็แปลว่าความรู้เหมือนกัน แต่ไหงมีคนเอาไปอธิบายว่า วิทยาศาสตร์หมายถึงการศึกษาเรื่องราวเกี่ยวกับปรากฏการณ์ทางธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม แล้วรวบรวมเป็นความรู้ ได้ไงก็ไม่รู้

ส่วนวิทยาศาสตร์สมัยใหม่จากที่จำขี้ปากนักวิชาการมาพอสรุปได้ว่า ยุคใหม่แห่งวิทยาศาสตร์อุบัติขึ้น หลังจากที่ กาลิเลโอ กาลิเลอี นักฟิสิกส์ชาวอิตาลี ออกมาพิสูจน์ว่าโลกไม่ได้เป็นศูนย์กลางจักรวาลอย่างที่ศาสนาบอกให้เชื่อ หลังจากนั้นเป็นต้นมา บรรดาวิทยา และ ศาสตร์ต่างๆที่เคยจำศีลเป็นเวลานานก็ถูกเปิดเผยและผลิตขึ้น เกิดความรู้ใหม่ๆมากมาย จนอะไรที่เรียกว่าใหม่แกะกล่องกลายเป็นของดี ทำให้เราต้องอัพเดทอยู่เสมอ ซึ่งรวมไปถึงวิทยาศาสตร์ด้วย

มาลองคิดดูแล้ววิทยาศาสตร์ก็ไม่ได้เป็นความรู้ใหม่อะไร เพราะสมัยก่อนก็มีวิทยาศาสตร์เหมือนกันนะ แต่จะก่อนขนาดไหนไม่รู้ รู้แต่ว่าในสมัยกรุงธนบุรีก็ใช้คำนี้ในฐานะวิชาด้านคุณไสย เพราะถือว่าเป็นวิทยาและศาสตร์อย่างหนึ่ง

ขนาดบิดาแห่งโหราศาสตร์ไทยก็ไม่ได้เป็นคนละคนกับบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทยแต่อย่างใด

ดังนั้นจึงไม่แปลกที่หากจะมีการเรียนการสอนวิชาวิทยาศาสตร์ที่ว่าด้วย พระเจ้าสร้างโลกภายใน 6 วันด้วยวจนะ บรรพบุรุษของเรา ชื่อ ปู่สังกะสาย่าสังกะสี หรืออุทกภัยน้ำท่วมเกิดมาจากปีนี้นาคให้น้ำหลายตัว เพราะต่างก็เป็นการอธิบายธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพียงแต่ถูกมองว่าเป็นวิทยาและศาสตร์ที่เก่าเก็บและล้าสมัย ทว่าใกล้ชิดประชาชนนะเออ

อย่างไรก็ตาม ก็ถือว่าเป็นข่าวที่น่ายินดีที่หน่วยงานราชการตั้งใจปฏิรูปวิทยาศาสตร์อย่างเอาจริงเอาจังให้เป็น “ยุคใหม่” จนทำให้ใกล้ชิดประชาชนได้เป็นผลสำเร็จ เพราะเมื่อวันวิทยาศาสตร์แห่งชาติ 18 สิงหาที่ผ่านมา ฉันเห็นคนแถวบ้านไปร่วมทำบุญตักบาตรเลี้ยงพระเพื่ออุทิศกุศลผลบุญถวายพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวบิดาแห่งวิทยาศาสตร์ไทย กันแน่นโรงเรียนเชียว

วันจันทร์ที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

นาง กับ นางสาว


ก่อนจะเล่าเรื่องไร้สาระ ฉันขอแสดงความยินดีย้อนหลังกับนักเรียกร้องสิทธิสตรีทั้งหลาย ที่พยายามเรียกร้องจนสุดลิ่มทิ่มประตูจนเปลี่ยนคำนำหน้าชื่อผู้หญิงเป็นผลสำเร็จ จนประเทศไทยแลนด์กล้าประกาศศักดาว่าเป็นชาติไทยทันสมัยชั้นแนวเรื่องความเท่าเทียมทางเพศ พัฒนากว่าประเทศอื่นๆที่เป็นประเทศโลกที่หนึ่ง

...ว่าแต่เป็นจริงอย่างที่เขาประกาศรึเปล่า ฉันไม่รู้...

มาเข้าเรื่องของฉันดีกว่า มีอยู่วันหนึ่งได้รับหนังสือเล่มบางๆจากเพื่อนสนิทที่ไปร้านหนังสือมา เป็นหนังสือ how to ชื่อ “มารยาทในการเข้าสังคม” มันหวังดีหรือมันอยากจะด่าฉันทางอ้อม ก็ไม่รู้
ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่า ทำไมจะต้องมีหนังสือ how to เข้าสังคมด้วย ในเมื่อเราก็เป็นสัตว์สังคม แม้จะมีนักวิชาการบางคนบอกว่าเราเป็นสัตว์ปัจเจกเพียงแต่ถูกทำให้เป็นสัตว์สังคมมาเป็นเวลาโกฏิปีก็ตาม แต่ถึงอย่างไร ในตอนนี้เราขาดสังคมไม่ได้จริงๆ

ถ้าจะพูดแบบง่ายๆก็คือในฐานะที่เป็นสัตว์ที่ปฏิเสธสังคมไม่ลงจริงๆ หนังสือมารยาทในการสังคม จึงเป็นคู่มือสำคัญยิ่งเพื่อเข้าใจถึงโครงสร้างสังคมและความคาดหวังของสังคมที่ตนอยู่ ที่สำคัญรู้จักตัวตนและสถานภาพของตนเองในฐานะสมาชิกของสังคมนั้นๆ ไม่อย่างนั้นคนพุทธจะอ่านไตรปิฏกไปทำไม และคริสเตียนจะอ่านไบเบิ้ลเพื่ออะไรกัน

ฉันจึงหยิบของฝากที่เพื่อนอุตส่าห์ซื้อมาให้ด้วยความปรารถนาดีประสงค์ร้าย พลิกอ่านไปมา ในหนังสือบอกว่าเมื่อไปงานศพ ให้พบเจ้าภาพแล้วแสดงความเสียใจ ( นี่ถ้าไม่บอกฉันคงไปหัวเราะรดหน้าเจ้าภาพแล้วมั้ง ) อ่านแล้วคล้ายๆคำแนะนำบนกล่องอาหารแช่แข็งว่า “โปรดอุ่นก่อนรับประทาน” ไม่มีผิด

แต่ดูเหมือนว่ามีหลายอย่างที่ฉันไม่รู้ ที่ไม่รู้เพราะไม่รู้เหตุผลว่าทำไมถึงต้องทำแบบนี้ เช่น ในงานเลี้ยงบุฟเฟต์ ถึงเวลาอาหารต้องให้สุภาพสตรีเข้าตักอาหารก่อน ถ้าโต๊ะจีนก็ต้องบริการสุภาพสตรี และไม่ว่าอะไรต้องช่วยเหลือ สุภาพสตรี เด็กและคนชราเสมอ และที่สำคัญต้องพูดจาให้เกียรติสุภาพสตรีอยู่เสมอ

ในหนังสือไม่ได้บอกว่าทำไมต้องทำแบบนั้นต้องทำแบบนี้ แต่ดูเหมือนว่า ผู้หญิงที่ในหนังสือเรียกว่า “สุภาพสตรี” นั้นเหมือนบุคคลในภาวะพึ่งพิงที่ต้องรับการประคบประหงมมากกว่าจะเป็นมนุษย์ปรกติผู้กระทำอะไรได้เอง

พอเปิดมาถึงบทที่ว่าด้วยการแนะนำให้รู้จักกันต้องแนะนำผู้อ่อนวัยกว่าให้รู้จักผู้สูงวัยกว่า ผู้มียศต่ำกว่าให้ผู้มียศสูงกว่า แม้จะฟังดูทะแม่งๆแต่ฉันก็พอเข้าใจดีว่าสังคมที่เราอยู่มันช่างเต็มไปด้วยศักดินา การไว้ยศถือชนชั้น

แต่ที่เป็นความรู้ใหม่และชวนตะลึงพรึงเพริศคือ ควรแนะนำหญิงที่ยังไม่ได้สมรสให้รู้จักผู้หญิงที่สมรสแล้ว
ดังนั้นการแต่งงานจึงไม่ต่างการเลื่อนขั้นทางสังคม เป็นการเปลี่ยนผ่านชนชั้นเช่นเดียวกับการบวชเรียนในสมัยก่อนหรือการเรียนให้จบอุดมศึกษาในปัจจุบัน เพื่อถีบตัวเองจากชนชั้นล่างขึ้นสู่อีกระดับหนึ่งที่เป็นชนชั้นพิเศษกว่า แต่ตำแหน่งของผู้หญิงจะสูงต่ำไม่ได้อยู่ที่การงานหรือการศึกษา แต่ต้องอาศัยการมีหรือไม่มีซึ่งผัว ( หรือจะเรียกให้สวยหรูคือสามี อันแปลว่า เจ้าของหรือเจ้านาย ) เป็นองค์ประกอบ

หญิงโสดหลายคนจึงต้องเผชิญกับสถานภาพของตนเองเป็นปัญหาที่ใครๆต่างก็บอกว่ามันช่างเหงาเปล่าเปลี่ยวเหี่ยวแห้งเป็นแตงเฉาตาย ยิ่งเกินวัยสาวแล้วแต่ยังเป็น”นางสาว”อยู่ ยิ่งดูน่าสงสารและเป็นเป้านินทาของสังคม เพราะมันไม่มีเกียรติทางสังคม

ด้วยเหตุนี้การเปลี่ยนคำนำหน้าชื่อของหญิงหม้ายกลับไปเป็นนางสาวได้ และ ผู้หญิงสามารถเลือกได้ว่าจะใช้คำนำหน้าชื่ออะไรเมื่อจดทะเบียนสมรสแล้ว ฉันจึงยินดีเฉพาะกับนักต่อสู้เพื่อสิทธิสตรี