วันพฤหัสบดีที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2551

กรุงเทพ ... city of angel


วันก่อนฉันเปิดโทรทัศน์ดูฆ่าเวลาเห็นโฆษณาผลิตภัณฑ์บำรุงเส้นผม หญิงสาวต่างจังหวัด 2นางในทุ่งทานตะวัน ระริกระรื่นแกมริษยาเพื่อนสาวตนเองที่อยู่ดีๆก็มีหนุ่มกรุงเทพมาของถ่ายรูป เพียงเพราะผมสวยดึงดูดตาหนุ่มเมืองหลวง ซึ่งเจ้าของผมสลวยหันไปให้เหตุผลกับเพื่อนที่ตาร้อนผ่าวว่า “ใช้ทุกครั้งหลังสระ” ชวนให้นึกถึงโฆษณาผลิตภัณฑ์ประทินหนังหน้ายี่ห้อหนึ่งที่ทำให้ “ หน้าขาว เหมือนสาวกรุงเทพ ” ซึ่งตอนนี้เปลี่ยนคอนเซปต์เป็น หน้าขาวแล้วได้พบรักแท้ ที่เนรมิตให้นางเอกโฆษณาอาชีพแม่ค้าขายดอกไม้หน้าดำเป็นเหนี่ยง ให้หน้าขาวใสขึ้นภายใน 7 วันมิผัดผ่อน จนแฟนเก่า( ว่าที่ผัวชาวบ้าน ) กลับมารักดังเดิม
ฉันได้แต่พลอยยินดีปรีดาไปกับเจ้าหล่อน อยู่หน้าโทรทัศน์ ไม่ว่าจะเป็นเด็กบ้านนอกใช้ทุกครั้งหลังสระ แม่เจ้าสาวถ่านไฟเก่า รวมไปถึงยัยต่างจังหวัดหน้ากากกทม. ที่ต่างพยายามยกระดับตนเองได้ด้วยสีผิวและเส้นผม
ฉันรู้สึกมุทิตาไปกับพวกเธอโดยเฉพาะสาวต่างจังหวัด 2 นาง ที่ชักจะเริ่มเข้าถึง ” ความเป็นกรุงเทพ ” ทุกที โดยไม่ต้องพึ่งภูมิลำเนา หรือ การย้ายถิ่นฐาน อย่างน้อยก็ทำให้คนในละแวกเดียวกันเข้าใจผิดว่าเธอเป็นคนกรุงเทพ
เพราะ คนกรุงเทพ และ เสมือนคนกรุงเทพ มันช่างน่าพิสมัยหอมหวนชวนให้ใครต่างก็อยากได้และอยากเป็นกันนัก เหมือนที่ครอบครัวฉันย้ายสำมโนครัว ตามกลิ่นท่อไอเสียและลำคลองดำปี๋มาถึงถึงที่นี่
กรุงเทพเปรียบเสมือนดินแดนศักดิ์สิทธิ์ของคนต่างจังหวัด เสมือนดินแดนแห่งพันธะสัญญาของชาวยิว ประหนึ่งเมกกะของมุสลิม จะไม่ให้ศักดิ์สิทธิ์ได้ไงล่ะ แค่ชื่อว่ากรุงเทพก็บอกแล้วว่าเป็นที่สถิตของเทวดานางฟ้า ไม่ใช่เมืองที่ผีเปรตเจตภูตที่ไหน เมืองอื่นจังหวัดอื่นจึงมีความหมายเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อนให้ผีป่านางไม้สิงสู่กันไป ( alienatization / demonization )
พูดถึงกรุงเทพ มักนึกถึงเมืองฟ้าแดนอมรที่ขวักไขว่ไปด้วยเทวดานางฟ้าชนชั้นกลางหน้านวลๆ มีพิมานคอนโดก็สูงเสียบฟ้า ทำงานในออฟฟิศ ทำงานเช้าเลิกงานเย็น จะเอาเวลาไหนไปโดนแดด ไวเทนนิ่งก็หาซื้อง่ายกว่า อำนาจการซื้อก็มากกว่า โอกาสขาวจึงมากกว่าคนต่างจังหวัดที่ต้องทำไร่ไถนาเลี้ยงหมูดูหมาอยู่ต่างจังหวัด โดยไม่ต้องสงสัย
ยังจำได้เลยว่าวันที่ป้าแก่ๆข้างบ้านเข้ามาทักฉันตอนกลับบ้านต่างจังหวัดว่าผิวฉันขาวสวยดี สงสัยวันๆอยู่แต่ในห้องแอร์ ไม่โดนแดดผิวเลยขาว ผิดกับป้าที่นับวันผิวยิ่งจะเข้มกว่าพื้นดินที่ป้าใช้ปลูกข้าวเสียอีก ฟังดูออกจะเป็นตรรกะที่พิลึกสักหน่อยแต่มันก็เป็นความจริง
เพราะพื้นฐานการผลิตที่แตกต่างกันไม่เพียงจะทำให้คนเราแตกต่างกันเรื่องชนชั้น แต่ยังทำให้เรามีสีผิวคนคนละเฉดกัน
หลายคนพยายามบอกว่า ที่คนไทยอยากขาวเป็นเพราะผลจากแนวคิด modernism และอิทธิพลของจักรวรรดินิยม ทำให้คนไทยมองว่า คนตะวันตกมันช่างเจริญ ศิวิไลซ์ สวยงาม ไม่ว่าจะเป็นความคิด ความรู้ วิถีชีวิต สิ่งก่อสร้าง รวมไปถึงสีผิว การที่คนอยากมีผิวขาว ถูกอธิบายว่าเป็นการล่าอาณานิคมทางวัฒนธรรมของชาวตะวันตก ที่ทำให้คนไทยอยากเป็นเหมือนฝรั่งมั่งค่า เป็นการครอบงำความคิดคนตะวันออกให้มีความคิดแบบตะวันตก
เอาเข้าจริง การแบ่งโลกออกเป็นตะวันออกกับตะวันตก ก็เป็นแนวคิดของชาวตะวันตกสร้างขึ้นมา เลยไม่รู้ว่าใครตามใครกันแน่
การครอบงำทางวัฒนธรรม ความคิด มันมีทุกที่ไม่ว่าจะในซีกโลกไหน หรือในรัฐไหนก็ตาม การที่ให้ผู้หญิงบ้านนอกหน้าขาวเหมือนคนกรุงเทพ ก็เป็นการครอบงำทางวัฒนธรรมและความคิดเหมือนกัน ซึ่งมันก็มีมานานแล้ว มีมานานเหมือนกับการปกครองแบบmonarchy
ในสมัยที่เกิดการปกครองแบบรวมอำนาจต่างๆกระจุกอยู่ที่กรุงเทพ สมมุติเทพในกรุงเทพพยายามให้สยามเป็นรัฐชาติสมัยใหม่ ( Nation-state ) ที่มีพระนครเป็นศูนย์กลางอำนาจ และเหตุประการฉะนี้สถานศึกษาอย่างโรงเรียนจึงเกิดขึ้นเพื่อกลืนกลายวัฒนธรรมท้องถิ่นให้เหมือนกับของกรุงเทพไปหมด ทั้งภาษา วัฒนธรรม ความคิด อุดมการณ์ เพื่อให้ง่ายต่อการปกครอง ไม่มีใครคิดต่างทำต่าง ไม่ก่อกบฏ หรือ ส่องสุมโค่นล้มอำนาจ ( ด้วยเหตุนี้แหละที่ผลักดันให้มีการเลิกทาสขึ้น คนทุกคนกลายเป็นประชาชนของรัฐ และจะได้ไม่มีใครกระด้างกระเดื่องส่องสุมกำลัง แรงงาน )
ไม่ใช่แค่ภาษา วัฒนธรรม อุดมการณ์ ความสวยความงามก็กลายเป็นสิ่งหนึ่งที่ต้องเปลี่ยนแปลงตามตามรสนิยมของศูนย์กลางทั้งเสื้อผ้าหน้าผม ตกเป็นภาระของสาวต่างจังหวัดที่ต้องผมสวยผิวขาวเหมือนไม่ได้หลังสู้ฟ้าหน้าสู่ดิน เพื่อเปลี่ยนผ่านชนชั้นทางสังคมและเป็นพลเมืองชั้นหนึ่งอย่างที่เทวดาใต้ร่มตึกคอนกรีตปรารถนา
ทั้งที่คนกรุงเทพก็เป็นคนต่างจังหวัดของคนในจังหวัดอื่นๆ แต่กลับไม่เคยเรียกผู้ชายกรุงเทพว่า “ หนุ่มต่างจังหวัด ” หนำซ้ำกลับเรียนตัวเองด้วยว่าคนต่างจังหวัดเสียอีก ความใช่คนกรุงและไม่ใช่จึงเป็นสำนึกที่เข้าทลายตัวตนของคนบนพื้นที่อื่นจนมองไม่เห็นจุดยืน เป็นสำนึกของตัวตนที่ถูกตีให้แตกกระจุยโดยสำนึกของศูนย์อำนาจ เหมือนที่คนต่างจังหวัดเป็นผู้ผลิตที่สำคัญทว่าไม่เคยได้ครอบครองการผลิตสักที เป็นการทำลายสำนึกเกี่ยวกับตนเองในการเป็นหนึ่งเดียวกับสังคมโดยรวม เหมือนประเทศอาณานิคมที่ถูกจักรวรรดินิยมตะวันตกแบ่งแยกและปกครอง
ในสายตาของคนกรุงเทพ คนต่างจังหวัดหน้าตาเหมือนกันไปหมด แถมใสซื่อบริสุทธิ์ไร้เดียงสาน่าเอ็นดูระคนสงสารทว่าไม่ปลอดภัยอยู่ในที ไม่ต่างไปจากสายตาของนักล่าอาณานิคมผิวขาวที่มองคนในประเทศในอาณัติ
แม้บางครั้งเกิดใจดีอยากอนุรักษ์ตัวตนและวัฒนธรรมท้องถิ่นไม่ให้สูญพันธุ์ จึงตบแต่งมันเสียใหม่ให้เป็นสินค้าดึงดูดนักท่องเที่ยวระดับชนชั้นกลางขึ้นไป ผู้ปรารถนาหนีออกจากความวุ่นวายในตัวเมืองและเหนื่อยหน่ายกับงานออฟฟิศที่จำเจ กลายเป็นวัฒนธรรมประดิษฐ์ที่ถูกจริตคนกรุงเทพอย่างที่สุด
วัฒนธรรมท้องถิ่นจึงถูกกลืนกลายโดยวัฒนธรรมกรุงเทพที่ประทานมาจากอมรเมืองฟ้าแล้วสถาปนาเป็นวัฒนธรรมประจำรัฐชาติใหม่ แม้แต่ภาษาไทยที่เราอ่านอยู่ที่ฉันเขียนอยู่มันก็เป็นภาษากรุงเทพไม่ใช่ภาษาท้องถิ่น เพราะฉะนั้นอย่าไปว่าใครเขาเลย ฉันเองก็ไปครอบงำวัฒนธรรมชาวบ้านเหมือนกัน