วันจันทร์ที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2551

ใครว่า “ เปรม ” เป็นตุ๊ด


ด้วยความสัตย์จริง ขอสารภาพ ณ ตรงนี้ในฐานะยัปปี้คนหนึ่งเลยว่า ฉันไม่ได้มี active citizen และไม่มีความรู้อะไรเกี่ยวกับการเมืองเรื่องรัฐเอาสะเลย จะรู้จักและแอบชื่นชมในความแกร่งของ เบเนอร์ซี บุตโต ก็เมื่อตอนเธอตายไปแล้ว แต่ไม่รู้ว่าตอนเธอบริหารปากีสถานก็คอรัปชั่นเหมือนกัน ไม่ได้ใส่ใจสักนิดว่าวีรชนคนเดือนตุลาที่ตายไปมี 1 ศพอย่างที่ใครสักคนพูดเป็นตุเป็นตะ หรือมากกว่านั้น อันที่จริงก็ไม่ไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่า 14 ตุลา กับ 6 ตุลาต่างกันอย่างไร


เพราะมันไม่ได้ช่วยให้ผิวใต้วงแขนขาวขึ้น ทำให้การหิ้วโน้ตบุ๊กไปจีบกาแฟที่ เจ-อเวนิว มันสะดวกกว่าเดิม รังมีแต่จะทำให้เครียดแค้น เจ็บปวด หดหู่ มีผู้แทนราษฎรแต่ไม่เคยทำอะไรแทนราษฎรสักอย่าง
รู้แค่ว่ามีหน้าที่เคารพกฎหมายและข้อบังคับของรัฐและมีหน้าที่เลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย ( หรือตามพิธีกรรมก็ไม่รู้ เพราะสมัยฮิตเลอร์ก็มีการเลือกตั้ง รวมไปถึงพม่าเองก็มีการเลือกตั้งเหมือนกัน )


ฉันไม่ได้เป็นพลเมืองแต่เป็นเพียงไพร่ฟ้า ( ที่ห่วงแต่ ) หน้าใสกับปากท้องมากกว่าที่จะห่วงว่า ใครจะเป็น ” นอมินี ” ให้ใคร หรือจะบริหารแบบ ” แดกไปเห่าไป ”

เช่นเดียวกับรัฐบาลที่มองพลเมืองเป็นไพร่ของมูลนาย นายกรัฐมนตรีที่มากับรถถังจะไปห่วงอะไรกับประชาชนนั่งรถเมล์ นายกรัฐมนตรีที่เป็น “ ม้าทรง ” ก็ย่อมต้องฟัง “ องค์ ” มากกว่าเสียงพลเมืองเป็นเรื่องธรรมดา

รัฐธรรมนูญฉบับม้าร่างจะเอื้ออำนาจเฉพาะเจ้าของคอกและม้าด้วยกัน หรือ จ๊อกกี้คนใหม่จะอวยยศคืนให้ม้าตัวใด ก็ไม่ได้สร้างความรำคาญใจเท่ากับการถูกโทรตามจิกให้ไปเป็นสมาชิกฟิตเนส หรือการปิดผับตอนตี 2

เมื่อคณะปฏิรูปหรือปฏิกูลอะไรสักอย่างถือกำเนิดอย่างเป็นทางการในคืนที่ 19 กันยา ซึ่งรัฐประหารครั้งนี้ดูเหมือนว่าคนที่ชื่อ “เปรม” ผู้เสมือนขึ้นหิ้งของแวดวงการเมืองการทหารจะถูกดึงมาพูดถึงมากขึ้นจากเดิม ทั้งฝ่ายรักแม้วและไม่รัก

ก็น่าอยู่หรอก เพราะคืนนั้นประธานองคมนตรีผู้นี้เป็นผู้นำหัวหน้าคณะรัฐประหารเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ฯ ซึ่งไม่เคยปรากฏมาก่อนในการรัฐประหาร 10 ครั้งก่อนหน้านี้ในประวัติศาสตร์ ( นับตั้งแต่ครั้งแรกเมื่อวันที่ 1 เมษายน 2476 เมื่อพระยามโนปกรณ์นิติธาดา ปิดสภาผู้แทนราษฎร ตั้งคณะคณะรัฐมนตรีชุดใหม่ และประกาศงดใช้รัฐธรรมนูญบางมาตรา )

แม้ผบ.ทบ.ผู้นำการรัฐประหารจะอ้างว่า พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ อยู่ในวังตั้งแต่เย็นแล้ว แต่สายข่าวก็ได้รายงานว่า พล.อ.เปรม ได้กลับเข้าบ้านสี่เสา ฯ แล้วก็ออกมาอีกครั้งหนึ่ง

อีกทั้งผู้ที่นิ่งเฉยจนได้ฉายา " เตมีย์ใบ้ " อย่างพล.อ.เปรม ก็หลุดปากเปรยว่า “ สุรยุทธ์ดีที่สุด ” แถมยังเคยเปรียบกับ มิสเตอร์ วินส์ตัน เชอร์ชิล อดีตนายกรัฐมนตรีของอังกฤษอีกด้วย

ด้วยเหตุนี้ “ ป๋า ” จึงถูกดึงลงมาจากหอคอยงาช้าง เหมือนกับ “ ป้า ” ที่ถูกดึงลงมาจากคานทอง ย่อมเป็นที่สนุกปากของคนทั่วไปโดยเฉพาะฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลทหาร

โดยเฉพาะบนสังเวียนการเมืองที่เต็มไปด้วยฉากหน้าและเบื้องหลังจึงดารดาษไปด้วยเรื่องเล่าข่าวลือที่แพร่สะพัดมากมายพอๆกับสรรพนามและนามสมมุติที่เกลื่อนกลาดตามหนังสือข่าวการเมือง ไม่ว่าจะเป็น " ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ" “ มือที่มองไม่เห็น ” “ ขันทีเฒ่า ” รวมไปถึง “ อีแอบหัวขาว ”

จนข่าวการเมืองราวกับข่าวซุบซิบดารา ประเภท นาย “ป” ชอบหานายทหารสีม่วงมาควงทวาร แถมให้เงินดารานักร้องหนุ่มเปิดผับย่านอาร์ซีเอ แต่เจ๊งไม่เป็นท่า ให้เอาไปขบคิดกันเอาเองว่า คนที่ว่านั้นเป็นใคร

… มิน่าล่ะ ทำไมดาราบางคนถึงลงมาเล่นการเมือง...

ซึ่งสมกับฐานะที่เป็น “ คนของประชาชน ” และสมกับเป็นเรื่องของการเมืองการปกครองที่กอปรไปด้วยกิจกรรมทั้งที่ลับและที่แจ้ง ดังนั้นเรื่องลับๆและแจ้งๆรวมไปถึงเรื่องในมุ้งตู้ตั่งเตียงจึงถือว่าเป็นเรื่องระดับมหภาคด้วยเช่นกัน

ซึ่งเรื่องลับๆหลังม่านลอดมุ้งอย่างเพศวิถี ( Sexuality ) ก็กลายมาเป็นอีกวิถีหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับการเมือง โดยเฉพาะสำหรับการตั้งป้อมโจมตีผู้ที่ขัดผลประโยชน์

การออกมาแฉหรือการสร้างจินตนาการว่าฝ่ายตรงข้ามร่วมเพศกับเพศเดียวกัน ก็ดูเหมือนว่าเป็นอาวุธยุทโธปกรณ์ที่ดีในการสร้างความชอบธรรมว่าตนดีกว่า พอๆกับรถถังและปืนกลที่อ้างความชอบธรรมให้กับความชอบทำและจินตนาการว่า ถ้าไม่รัฐประหารคืนนั้นก็จะเกิดความรุนแรงและการนองเลือด

แม้ว่าการรัฐประหารจะเป็นความรุนแรงอีกรูปแบบหนึ่ง เพียงแต่ว่า เป็นความรุนแรงที่ “ ราบรื่นดุจแพรไหม ”
จะเป็นอาวุธดีหรือไม่ดีอย่างน้อยก็เป็นภาพสะท้อนที่ดีว่า นักการเมืองและทหารที่ดี จึงต้องมีคุณสมบัติ “ ความเป็นชาย ” หรืออย่างน้อยที่สุด ก็ต้องไม่ร่วมเพศกับผู้ชายด้วยกัน


เพราะโลกทางการเมืองเป็นโลกของเพศสภาพชาย ซึ่งแม้แต่ผู้หญิงเองก็ต้องตอนเพศภาพตนเอง ให้มีความแข็งแกร่ง เด็ดเดี่ยว เฉียบขาดอย่างผู้ชาย “ ควรจะเป็น ” ตามจินตนาการของชุมชนการเมือง

ผู้ที่เกี่ยวข้องกับแวดวงนักการเมืองหรือทหารตำรวจ ( ไม่ว่าต่อหน้าหรือลับหลัง ) ถ้าไม่ ” เก็กชง ” หรือ “ แอ๊บแมน ” หรือไม่มี ” ความเป็นชาย” ตามอุดมคติ ก็จะถูกโจมตีในฐานะบ่อนทำลายเสถียรภาพทางการเมือง ซึ่งแม้แต่ฝ่ายที่ประกาศตนเป็นฝ่ายตรงข้ามกับ “ ป๋า ” เองอย่าง จักรภพ เพ็ญแข กับ มิ่งขวัญ แสงสุวรรณ ก็คงเข้าใจเรื่องนี้ได้ดี ว่ามันเป็นโลกที่ผู้ช๊ายผู้ชายเพียงไหน

แม้แต่ผู้หญิงที่เข้ามาสู่พื้นที่การเมือง ถ้าพวกหล่อนไม่พ่วงเพศ ” หญิง ” ทิ้งท้ายอาชีพ ก็จะไม่รู้ว่าเป็นเพศหญิงหากพูดคำว่า “ นักการเมือง ” ลอยๆ

เพราะปริมณฑลทางการเมืองคือปริมณฑลของผู้ชาย หรือน้อยที่สุดก็สวมหัวโขนเป็นตัวละครเพศชาย ไม่ว่าตามความเป็นจริงจะมีเพศสภาพอะไรก็ตาม เพราะในฐานะ ” คนของประชาชน ” ที่ประหนึ่งตัวแทนของประชาชน มันต้อง ” แมน ” เพื่อให้ดูสง่าน่าเชื่อถือ เพราะเพศสภาพที่ “ ไม่แมน ” มักถูกโยงกับความไม่มีเหตุผล โลเลไม่มั่นคง มีอารมณ์รุนแรง ชอบด่าทอกระแหนะกระแหน มารยาสาไถ ตลบตะแลง

ราวกับว่าการแฉเบื้องลึกเบื้องหลัง เรื่องซุบซิบ และการล้มโต๊ะการเมืองเป็นเรื่องของการใช้ตรรกะเหตุผล การไม่ใช้ความรุนแรง และเป็นอาวุธของผู้ชาย

และทำเหมือนกับว่า เกย์ไม่ใช่พลเมืองของประเทศ ไม่ได้จ่ายภาษีให้อาหารรัฐ ทั้งๆที่เกย์หลายคู่อยู่กินฉันท์สามีภรรยาแต่ต้องจ่ายภาษีเต็มอัตรา เพราะไม่ใช่คู่สมรส

การดูแคลนและใช้สิทธิเสรีภาพในการร่วมเพศของแต่ละปัจเจกชนในประเทศที่อ้างว่าเป็นเสรีนิยม มาเป็นเครื่องมือโจมตีผู้อื่นต่างหากที่เป็นความตลบตะแลง รุนแรง สกปรกและขี้แพ้ชวนล้มโต๊ะยิ่งกว่ารัฐประหาร 19 กันยาเสียอีก

ไม่น่าแปลกใจเลยที่ไม่ค่อยมีใครสนใจเรื่องการเมืองการปกครอง เพราะเบื้องต้นที่สุดมันได้กีดกันความหลากหลายทางเพศที่เหลืออันมีอยู่ค่อนประเทศ และอนุญาตให้เพศชาย ” บริสุทธิ์ ” ใส่สูท ใส่ชุดซาฟารี ผ้าไหมแข็งๆ ไม่เจาะหู ไม่กัดสีผม เท่านั้นที่จะสามารถดำรงอยู่ได้โดยไม่ถูกติฉินนินทา แม้ว่าจะเคยฆ่าใครมาก่อน หรืออยู่พรรคพวกใครมาก่อน แต่กลับเป็นสิ่งที่ทุกคนยอมรับและยอมลืมกันได้มากกว่า ใครเคยเอาตูดใครหรือเคยถูกใครเอาตูดมาก่อน

... คุณสมบัติของนักการเมือง กลับเป็นเรื่องใครเป็นเกย์หรือไม่เกย์ แทนเรื่องใครโกงหรือไม่โกง ใครมีจริยธรรมความสามารถหรือไม่มี ...

พลเมืองจึงรับรู้ว่านักการเมืองเป็นอะไรมากกว่า พวกเขาพวกหล่อน เคยทำคุณงามความดีอย่างไรหรือทำระยำตำบอนฝากไว้ที่ไหนให้บ้านเมืองบ้าง แม้แต่นักการเมือง ( ที่มักต้องพ่วงท้ายคำว่า )หญิง ( เสมอ ) เรามักรับรู้เรื่องลือว่า หล่อนไปนอนกะใครเป็นเมียน้อยให้ใครมากกว่าหล่อนเรียนจบด้านไหนมา ถนัดเรื่องอะไรบ้าง

ข่าวการเมืองที่ไพร่ยัปปี้จะรับรู้ก็เลยไม่ต่างอะไรไปจากข่าวgozzipดารานักแสดงที่นิยมเสพทุกคืนวัน
จะต่างกันตรงที่ ดารานักแสดงเขามีเสื้อผ้าหน้าผมการพูดจำนรรจา เหมือนชาวบ้านชาวช่องมากกว่า มีอัตลักษณ์ทางเพศมากกว่า เข้าถึงได้ง่ายกว่า และ ” เล่นละคร ” เป็นเวลามากกว่า ซึ่งทั้งนี้ก็เพื่อentertainประชาชน หากแต่ที่เป็นนักการเมือง แม้จะอ้างว่าเป็นคนของประชาชน แต่กลับ “ เล่นละคร ” ตลอดเวลาเพื่อ entertain ตนเองและพวก


วันนี้ฉันหยิบหนังสือพิมพ์ในร้านกาแฟย่านสีลม มานั่งอ่านเล่นฆ่าเวลาระหว่างรอเพื่อนมาพบปะหลังเลิกงาน เห็นตัวหนังสือสีดำขนาดเขื่องแผ่หลาบนหนังสือพิมพ์หน้าหนึ่งว่า

“ เปรมไม่ได้เป็นตุ๊ด ” ….เพราะว่า ทาทา คอนเฟิร์มเองค่ะ...