วันอาทิตย์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2551

ฮวงจุ้ยดี ชีวีมีสุข


ฉันโตมาในสมัยเพลง”หนูอยากเป็นอะไร”ของพี่เบิร์ด ธงไชย แมคอินไตย์ และพอโตมาแล้วก็ได้ฟังเพลง”ชีวิตลิขิตเอง”ของพี่เบิร์ดอีก จนทำเอาเป็นสาวมั่น ไม่เชื่อโชคชะตากรรมเวร อยากจะทำอะไร หวังอะไรไว้ก็ทำตามอย่างที่หวังไว้ ไม่เชื่อว่าจะมีพรหมมาลิขิต โชคชะตาเวลาเกิดมากำหนดว่าตกฟากเวลานี้โตไปจะทำอะไรรุ่ง เกิดวันเดือนปีอะไร ธาตุใด ราศีไหน ชงกับอะไร ควรขับรถสีใด ใส่เสื้อสีอะไรสุขภาพจะดี ยิ่งเรื่องน้ำ(ฮวง)กับลม(จุ้ย) มีผลอย่างไรต่อการครองเรือนและดำรงชีวิตอย่างฮวงจุ้ยจึงยิ่งเป็นเรื่องที่ไกลตัวออกไปเช่นเดียวกับ ลักจั๊บ สี่ข่วย อีจิ้ง โหวงเฮ้ง


อันที่จริง ไม่ใช่แค่ไม่รู้ ขนาดสะกดผันวรรณยุกต์ยังไม่ค่อยจะถูกเลย


ดังนั้นจึงไม่เคยคำนึงเวลาจะนอนว่าต้องหันหัวไปทิศไหน เวลาเลือกคบคนก็ไม่เคยคำนวณว่าถึงราศีปีเกิดว่าชงไม่ชง เพราะเวลาเมาเราก็นอนได้ไม่ว่าจะสถานที่ใดหรือกับใคร… รึไม่จริง
หมอดูคนหนึ่งบอกว่า ที่ฉันยากจนข้นแค้นอยู่ถึงทุกวันนี้เป็นเพราะผมทรงหน้าม้าของฉัน ที่ไม่ยอมเซ็ทผมเปิดหน้าผากรับทรัพย์ตามหลักโหงวเฮ้ง
สงสัยหมอดูคงไม่รู้จักม้า อรนภา เพราะชีมีรายได้มากกว่าหมอตั้งหลายเท่า ทั้งที่มีทรงผมแบบนั้น
แต่บอกว่าไม่เชื่อเลยก็ดูจะโม้ไปนิด เพราะเวลาเห็นคนไปดูดวง ทำพิธีสะเดาะเคราะห์ ไหว้พระไหว้เจ้าทั้งพุทธฮินดูจีน ก็ไปด่าว่างมงาย ไม่เป็นวิทยาศาสตร์ แต่พอเวลามีคนทักว่าดวงกำลังตกก็ขี้ขึ้นสมอง คอยระแวงระวังจนไม่กล้าออกจากบ้าน ใครบอกให้ไปไหว้อะไรไปไหว้หมด แล้วค่อยอ้างทีหลังว่า “ทำไว้ไม่เสียหาย” หรือ “ไม่เชื่ออย่าลบหลู่”
ในฐานะที่เป็นมนุษย์สัตว์ที่มีระบบสมองซับซ้อน จึงต้องคิดอะไรซับซ้อน ไม่ได้ตัดสินแบบหัวก้อยหรือขาวดำได้ เพราะฉะนั้น เราจึงมักได้ยินคำติดปากว่า “เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง”
ที่ไม่เพียงแต่จะบอกว่า กำลังตกอยู่ในสถานการณ์อิหลักอิเหลื่อ พิพักพิพ่วนที่จะตอบว่ากูเชื่อเรื่องพรรค์นี้หรือไม่ แต่ยังบอกว่า “กูก็ไม่เชื่อตัวเองเหมือนกันว่ากูเชื่อหรือไม่เชื่อ”
แต่ด้วยประสบการณ์ตรงกับชีวิต ที่ตกล่องปล่องชิ้นกับเศรษฐีแก่นายหนึ่ง หลังจากที่ฉันมะงุมมะงาหราหามานานเกือบครึ่งค่อนชีวิต
เขาปลูกบ้านให้ฉันอยู่หลังหนึ่งที่ต่างจังหวัด หลังจากที่ทนฉันบ่นสภาพมลพิษ และรถติดของเมืองหลวงไม่ไหว แม้ว่าเขาจะลงทุนสร้างบ้านหลังนี้ให้ฉันแต่ก็เป็นไปตามความแนะนำของซินแสแทบทุกคำ แม้ฉันจะท้วงด้วยเหตุผลร้อยแปดก็ไม่เป็นสำเร็จ เพราะหนึ่ง เงินเขา สอง เขาให้เหตุผลว่า ถ้ามันไม่ดีจริงก็คงไม่อยู่ได้มานานเป็นพันๆปี และเป็นสากล ยอมรับกันเป็นทั่วโลก
แม้ว่าฉันไม่ใช่ racism ก็ตาม แต่การที่จะทำใจเชื่อด้วยเหตุผลที่ว่ามีมาตั้งแต่โบราณ ยิ่งเป็นความเชื่อร่วมสมัยกับความเชื่อที่ว่าผู้หญิงที่เท้าขนาดไม่กี่นิ้วนั้น น่าหลงใหลได้ปลื้มกับจนต้องรัดซะแทบเดินไม่ได้ จึงเป็นเรื่องที่ทำใจลำบากอย่างยิ่ง


แล้วที่บอกว่าเป็นสากลทั่วโลกน่ะ ก็เล่นตั้งรกรากไปทั่วโลกซะขนาดนั้น


แต่ถึงอย่างไร ฉันก็ได้บ้านหลังน้อยท่ามกลางหมู่มวลพฤกษานานาพันธุ์สมใจ ข้างหน้ามีลำธารขนาดใหญ่ ข้างหลังเป็นทิวเขาเขียวขจี ซึ่งซินแสบอกว่า ถูกหลักฮวงจุ้ย ใครอยู่บ้านหลังนี้จะมีแต่ความสุข เจริญรุ่งเรือง มีโชคลาภ ผัวเมียจะอยู่กันยืดแก่เฒ่า ถือไม้เท้ายอดทองกระบองยอดเพชร .... ท่าจะจริงอย่างที่ซินแสว่าคู่รักจะอยู่กันยืด

ก็จะให้หนีไปไหนได้ล่ะคะ หน้าบ้านเป็นภูเขาหนีไปก็กลัวตะเข้ จะลากไปกิน ปีนเขาหนีไปหลังบ้าน ก็กลัวเสือคาบไปโซ้ย

เห็นทีฉันต้องเชื่อฮวงจุ้ยเสียแล้ว...