วันจันทร์ที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2551

วิกฤตของพ่อแม่


เรื่องมันมีอยู่ว่า เพื่อนฉันอยากไปเที่ยวเขาใหญ่ แต่ลากิจไม่ได้ จึงพยายามเสาะแสวงหาใบรับรองแพทย์เก๊ๆ เพื่อมาสร้างความชอบธรรมในความเจ็บไข้ได้ป่วยจนไม่สามารถเป็นฟันเฟืองให้กับนายทุนปัจจัยในการผลิตให้กับนายทุน
แต่ก็แปลก ถ้าเพื่อนฉันป่วยจนไม่สามารถออกไปทำงานได้ แต่ทำไมต้องให้เพื่อนฉันขับรถไปโรงพยาบาลเพื่อขอใบรับรองแพทย์ด้วย

ในฐานะคนตกงานอยู่ในบุคคลไร้รายได้ที่แน่นอน ฉันได้แต่เห็นอกเห็นใจคนทำมาหากินที่อยากจะพักผ่อนนอนอยู่บ้านกระดิกนี้วตีนติดกัน 2 – 3 วันทั้งที ยังต้องอาศัยโรคภัยไข้เจ็บที่สมเหตุสมผลพอที่จะไม่ต้องทำงานได้ ไม่เหมือนสมัยเรียนหนังสือ นึกอยากจะโดดเมื่อไรก็โดด ไปกินเหล้าเมายาหยำเปตลอดทั้งคืน ตื่นเช้ามาปวดหัวเรียนไม่ไหวก็นอนต่อ ไม่เห็นต้องรายงานให้ใครทราบว่าพี่ตายหรือยายป่วย... ก็แน่ละทำงานแลกเงินเขานี่ ไม่ได้วันๆนั่งๆนอนๆขอเงินพ่อแม่ไปวันๆอย่างฉัน ที่อยู่ในสภาวะพึ่งพิงทางเศรษฐกิจ ฉันจึงมีพ่อแม่เป็นสรณะตั้งแต่เด็กยันโต ฉันจึงกลายเป็นคนติดบ้าน ไม่อยากจากพ่อแม่ไปไหนสักครั้ง


ตอนเด็กๆ ทุกครั้งที่ฉันผวาตื่นไม่ว่าด้วยฝันร้ายหรือเสียงฟ้าคำราม ทุกครั้งที่ฉันมีบาดแผลไม่ว่าที่ร่างกายหรือหัวใจ ฉันจะเก็บซ่อนความเสียดแสบความประหวั่นพรั่นพรึงและน้ำตา แล้ววิ่งแจ้นไปหาอ้อมกอดแม่หรือพ่อ เพราะมันเป็นที่ที่รู้สึกปลอดภัย อบอุ่นใจและได้รับการคุ้มภัยมากที่สุด


ไม่เพียงเฉพาะเศรษฐกิจ แต่พ่อแม่ยังเป็นเสาหลักให้พึ่งพิงทางจิตใจ ปลอบประโลมยามหวาดกลัว อบรมสั่งสอนพยายามให้ฉันอยู่ในโอวาท สำหรับฉันพ่อแม่จึงกึ่งๆศาสนาหรือพระเจ้าที่เป็นที่ยึดเหนี่ยวและขัดเกลาจิตใจ กำหนดกฎระเบียบ แถมมีความศักดิ์สิทธิ์น่าเทิดทูน และเกิดจากความหวาดกลัว


ด้วยเหตุนี้จึงมีคนชอบเปรียบพ่อแม่กับ พระ กับ พรหม ที่อยู่ในบ้าน อยู่บ่อยๆ


แต่พอโตขึ้นเรื่อยๆ ฉันเริ่มเข้าใจว่าโลกไม่ได้มีแค่ในบ้าน พ่อไม่ได้หล่อและเท่ห์ที่สุดในโลกและแม่ก็ไม่ได้เป็นผู้หญิงสวยที่สุดเช่นกัน ความรู้และกฎระเบียบเริ่มเพิ่มพูนขึ้นรอบนอกรั้วบ้าน ฉันจึงได้เรียนรู้และเข้าใจในบางสิ่งที่พ่อแม่ไม่เคยสอนและไม่เคยรู้


เมื่อไม่ใช่ผู้ที่ฉลาดรอบรู้และพึ่งพาไปได้ทุกเรื่อง พ่อกับแม่จึงไม่ได้เป็นที่พึ่งได้ให้กับในลูกๆเหมือนตอนยังเป็นเด็ก ศักดิ์สิทธิ์ยิ่งใหญ่น่ายำเกรงอย่างพระเจ้า


“พระและพรหมในบ้าน” จึงดูเหมือนเป็นวาทกรรมที่ขี้จุ๊และเวอร์ไปสักหน่อย เพราะพ่อแม่ก็เป็นเพียงมนุษย์ขี้เหม็นคนหนึ่งที่มีผิดชอบชั่วดีเหมือนกัน
ลูกหลายๆคนจึงไม่ยอมให้พ่อแม่มาลิขิตชะตาชีวิตราวพระเจ้าว่าต้องดำเนินชีวิตอย่างไร เรียนคณะอะไร ทำงานด้านไหน ต้องกลับบ้านกี่โมง แล้วเรียนจบต้องแต่งงานกับใคร


ยิ่งเทรนด์โลกที่สิทธิของแต่ละบุคคลเท่าเทียมกันและมีเสรีภาพเสมอกัน แม้จะเป็นไปตามทฤษฎี ก็ตาม แต่ก็ทำให้มนุษย์มีอำนาจในการเลือกกำหนดและปกครองชีวิตได้เอง


พ่อแม่จึงเป็นผู้ปกครองลูกได้ก็ต่อเมื่อลูกยังเป็นผู้เยาว์เท่านั้น


เพราะเมื่อเด็กโตพอจนพ้นสภาพผู้เยาว์ ย่อมมีศักยภาพพอที่จะควบคุมและพึ่งตัวเองได้มากขึ้น พ่อแม่จึงไม่ใช่ผู้ปกครองอีกต่อไป ลูกจึงไม่ได้เป็นผู้ถูกปกครองหรืออยู่ใต้อาณัติตามหลักกฎหมาย เหมือนที่พ่อแม่คาดหวังให้ลูกพึ่งตัวเองมากขึ้น คิดเองทำอะไรได้เองไม่ต้องให้พ่อแม่ประคบประหงมอยู่ตลอด แต่ขณะเดียวกันพ่อแม่ก็หวังลึกๆว่าในสายตาของลูกจะไม่มีใครยิ่งใหญ่และทรงอำนาจไปกว่าตน


มันจึงดูเหมือนเป็นวิกฤติศรัทธาสำหรับพ่อแม่บางคู่ที่รู้สึกอดปวดกบาลไม่ได้ว่า “เด็กเดี๋ยวนี้มันไปเชื่อดารานักร้องกันหมดแล้ว ไม่เชื่อพวกเราหรอก” ไม่ก็ “เดี๋ยวนี้มันชักจะเอาใหญ่ พูดอะไรไม่รู้จักฟัง แถมยังเถียงคำไม่ตกฝาก”
ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายน่าสะเทือนใจหรือเป็นความล่มสลายของสถาบันครอบครัวที่ชนชั้นกลางหลังศตวรรษที่ 19

เทิดทูนแต่อย่างใด หากบุพการีจะไม่ใช่บุคคลที่น่าเชื่อถือที่สุดทุกเรื่องสำหรับชีวิตลูกๆที่ตนเคยเฝ้าฟูมฟักอบรมสอนสั่งในสภาพแวดล้อมและบรรยากาศที่เหมาะสมมานานนับปี เพราะถ้าหากพ่อแม่น่าเชื่อถือได้หมดทุกเรื่อง ป่านนี้ เพื่อนฉันคงไม่ต้องมะงุมมะงาหราหาหมอออกใบรับรองแพทย์ให้หรอก เธอคงเขียนใบลาเอง แล้วให้พ่อแม่เซนต์ชื่อกำกับว่า ““ขอรับรองว่าเป็นความจริง”