วันเสาร์ที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

พุทธแบบไทยๆ


ฉันไม่ค่อยสะเทือนใจเท่าไรกับข่าวที่ว่าหนึ่งในแกนนำพวกเสื้อแดงโดนยิงกบาลตายแหล่ไม่ตายแหล่ จากการสงครามการเมืองและกลางเมือง บนแยกราชประสงค์(ซึ่งเขี่ยเอาราชดำเนินตกกระป๋องไปเลยทีเดียว) เพราะการฆ่าฟันมันเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นมาตลอดในประวัติศาสตร์ทางการเมือง ไม่ว่าจะรูปแบบใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการเมืองในรูปแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ และ ระบบกษัตริย์ ที่เป็นเนื้อหาส่วนใหญ่ของประวัติศาสตร์ไทย แต่สิ่งที่ฉันสะเทือนขวัญก็คือ หลายคนพลอยยินดีปรีดากับการตายของหนึ่งในแกนนำกลุ่มเสื้อแดง ซึ่งจำนวนในนั้นเป็นคนที่รู้จักมักคุ้นผ่าน fb และเป็นคนกรุงเทพกระฏุมภี ที่คิดถึงพารากอน ctw เกสร เต็มแก่

เพราะมันเป็นการสนับสนุนความรุนแรงและการฆ่าแกงเพื่อกำจัดคนที่มีความคิดและอุดมการณ์ในเรื่องต่างๆ ที่ต่างออกไป โดยกลุ่มคนชนชั้นที่มักมีสำนึกทางวัฒนธรรมที่เกลียดกลัวความรุนแรงและเทิดทูนความอบอุ่นละมุนละม่อม มีสำนึกทางการเมืองแบบเสรีประชาธิปไตยมากกว่าชนชั้นอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งชนชั้นเจ้าที่พัฒนาสถานภาพมาจากนักรบ เป็นชนชั้นที่มีกองทัพเป็นของตนเอง และนิยมระบอบเทวราชากับสมบูรณาญาสิทธิราชย์มากกว่า

จะว่าไปแล้ว พบว่าคนที่พลอยยินดีกับการปางตายและภาวนาให้ตายในครั้งนี้ ส่วนใหญ่มักเป็นroyalist และพึงพอใจกับการมีประชาธิปไตย “แบบไทยๆ” !!!!

ทำเอาให้หวนให้นึกถึงภาพ “คน”เอาเก้าอี้พับฟาด “คน” ที่ถูกแขวนคอใต้ต้นไม้จนคดบิดคอเบี้ยวที่แวดล้อมไปด้วยกลุ่ม “คนด้วยกัน” ยืนมุงดู เมื่อเดือนตุลา 2519 หรือใกล้อีกนิดก็เหตุการณ์ทำร้ายร่างกายคนที่ไม่ลุกขึ้นยืนเวลามีเพลงสรรเสริญพระบารมีในโรงภาพยนตร์

แม้ฉันเองก็ไม่ได้ romanticized แบบชนชั้นกลางชนิดที่ว่าเราต้องรักกัน คนไทยต้องรักกัน (คนตั้งเยอะแยะมันจะไปรักกันยังไงหว่า) ต้องโอบออ้อมอารี ไม่ใช้ความรุนแรงตัดสินปัญหาก็ตาม เพราะความรุนแรงมันก็เช่นเดียวกับการเมือง มันมีอยู่ทุกที่ เราหนีไม่พ้นอยู่แล้วแม้แต่ความตาย เราจึงเห็นกระบวนการตัดสินและคาดโทษในโลกหลังความตายที่เต็มไปด้วยการใช้กำลัง ความรุนแรง ตามทรรศนะของศาสนา แม้แต่ศาสนาพุทธที่พร่ำสอนว่า เมตตาธรรมค้ำจุนโลกา ก็ตาม
หลายคนเชื่อว่าเรื่องเมตตาธรรมของสิทธัตถะและยืมมาใช้ในการพยายามหยุดความรุนแรงด้วยการอ้างสถานะของประเทศไทยว่าเป็น “เมืองพุทธ” ราวกับจะบอกว่าประเทศอื่นที่ไม่ใช่ศาสนาพุทธเขานิยมความรุนแรง และ ประเทศที่ผู้นำและควนส่วนมากนับถือศาสนาพุทธเขาจะไม่ฆ่าแกงกัน

ทว่าการบอกว่าประเทศไทยเป็นเมืองพุทธของพุทธศาสนิกชนไทย ก็ไม่ต่างอะไรไปจากที่กระฎุมภีกรุงเทพมหานครลุ้นให้แกนนำเสื้อแดงตายไปทีละคนสองหรือระเบิดหัวผู้นำม๊อบ เพราะมันเป็นการกำจัดและปิดปากคนที่แตกต่างแปลกปลอม เขี่ย คริสเตียน มุสลิม ยิว คนไหว้ผี และรวมไปถึงคนไร้ศาสนา(ซึ่งดูเหมือนว่าจะเพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ) ให้พ้นพื้นที่การนิยามความหมายของคำว่า “คนไทย” ไม่ใช่พลเมืองหรือเจ้าของรัฐ โดยมีเครื่องมือที่เชื่อว่าไม่สร้างความรุนแรงอย่างศาสนา

เพราะศาสนาเป็นเรื่องที่ไม่มีใครกล้าโต้แย้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งศาสนาพุทธใน ”เมืองพุทธ” มันจึงกลายเป็นเครื่องมือในการสร้างความชอบธรรมทางการเมืองไม่ว่าอุดมการณ์หรือระบอบแบบใด ไม่ว่าจะเป็นเทวราชา ประชาธิปไตยแบบไทยๆ หรืออะไรก็ช่าง คำอธิบายของพระสงฆ์เกี่ยวกับอุดมการณ์ทางการเมืองจึงเข้มแข็ง ทรงพลัง น่าฟังน่าเชื่อ พระสงฆ์หรืออย่างน้อยที่สุดคนที่เสื้อผ้าหน้าผมคล้ายพระสงฆ์จึงมีบทบาททางการเมืองไม่ว่าจะเป็นการเรียกร้องให้ยุบสภาบนเวทีเสื้อแดง การออกมาเรียกร้องให้ยุติความรุนแรง การเทศนาให้เห็นถึงกฤษฏาภินิหารของบูรพกษัตริย์ไทย
และถ้ายังไม่ลืม การเข้ามาในประเทศไทยของ 'สุกิตติขจโรภิกขุ' หรือ เณรถนอม กิตติขจร และ คำสัมภาษณ์ ใน นิตยสารรายสัปดาห์ “จตุรัส” ของกิตติวุฑโฒ ว่าการฆ่าคอมมิวนิสต์ หน้าที่ของคนไทยทุกคน เพราะการฆ่าคนเพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ถือเป็นบุญกุศลเหมือนฆ่าปลาแกงใส่บาตรพระ ซึ่งนำไปสู่การสังหารหมู่ในวันที่ 6 ตุลา 2519

การยืดอกประกาศก้องว่าเมืองไทยเป็นเมืองพุทธอย่างภาคภูมิคงไม่ใช่เรื่องผิดแปลก หากแต่ละไว้ในฐานที่เข้าใจว่า เป็นเมืองพุทธแบบไทยๆ เช่นเดียวกับประชาธิปไตยแบบไทยๆ