วันจันทร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ผู้หญิงข้ามเพศ ? ? ! !


คืนก่อนดูรายการทีวีหนึ่ง เป็นการทุ่มเถียงระหว่าง... เอ่อ..จะเรียกว่าอะไรดีล่ะ เพราะพวกเขากำลังเถียงกันเรื่องนิยามตัวตนกันเองอยู่ว่าจะนิยามตนเองว่า เป็น“สาวประเภทสอง” “กะเทย” หรือ “ผู้หญิงข้ามเพศ”

ประเด็นหรือชนวนชวนทะเลาะกันคือ ความพยายามที่จะหันมานิยามว่า “ผู้หญิงข้ามเพศ” แทนคำว่ากะเทยหรือสาวประเภทสองพร้อมชุดคำอธิบายเสียใหม่ แต่จะข้ามภพด้วยมั๊ย ...ไม่รู้ เพราะว่าบรรดานักวิชาการ นักเคลื่อนไหว เขาเลิกพยายามนิยามกันมานานแล้ว แต่ที่เสนอมาออกรายการเพราะดูเหมือนว่าเจ้าของรายการคงต้องการสร้างเรตติ้งมากกว่า ด้วยการนำกะเทยมาตีกันผ่านสื่อให้สาธารณชนดู

...และก็สมใจผู้จัดเหมือนกัน เพราะกลายเป็นกระแสใหญ่โตในfacebook.com กระทู้ในpantip.com และการเข้าไปดูในyoutube.com...

คงเพราะไม่คุ้นหูจึงทำให้ “ผู้หญิงข้ามเพศ” ฟังแล้วค่อนข่างทะแม่งๆกับชื่อ เพราะมันแปลว่าอะไรหว่า ดูจนรายการจบก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี เพราะไม่รู้จะฟังใครพูดดี แย่งกันตระเบ็งแข็งกันพูดโขม่งโฉงเฉง อีกอย่างรายการก็ตัดไปตัดมาเพื่อกระชับเวลาจนจับใจความสำคัญไม่เจอ

แต่ฟังแล้วเสียวสันหลัง สังหรณ์ใจว่าพวกวินมอเตอร์ไซค์หน้าหมู่บ้าน คนงานก่อสร้างบ้านจัดสรรหน้าปากซอย มันจะต้องเอามาแซวกูแน่ๆ เหมือนกับตอนที่มีคำว่า “ประเทือง”

บรรยากาศมาคุขึ้นเรื่อย ทุกหลังโฆษณาที่เริ่มมีขยายวงสนทนามากขึ้นและเพิ่มตัวละครมากขึ้น (ก็ต้องใช้คำว่า”ตัวละคร”น่ะสิ เพราะรายการเขาจัดฉากนี่นา)และการนิยามความหมายใหม่และใช้คำศัพท์ใหม่อย่างแรงกล้าดูเหมือนว่าจะไม่ประสบผมสำเร็จในวงสนทนาแล้วยิ่งพยายามเท่าไรก็ยิ่งปะทะกันมากขึ้น

การพยายามใช้คำเรียกและให้คำจำกัดความ มันอาจดีตรงที่ง่ายต่อการอธิบายสำหรับคนที่ไม่รู้จักและไม่เคยพบเห็นมาก่อน อย่าง เรียกวาฬว่าปลาวาฬ เรียกแพนด้าว่า หมีแพนด้า แต่ก็รู้อยู่แก่ใจว่ามันไม่ใช่ปลาและหมี

แต่เป็นการนิยามสัตว์สิ่งของไม่ใช่กับคน และความพยายามนิยามหรือจัดประเภทของคนเขาก็ไม่ทำกันแล้ว เพราะไม่เพียงเป็นการจับคนมาใส่กล่องแต่ยังเป็นการผลักและกันคนจำนวนหนึ่งออกไป แม้แต่Feminisms ที่มีคุณูปการต่อกาเปิดพื้นที่ให้กับ “ผู้หญิงข้ามเพศ” เขาก็หลีกเลี่ยงที่จะนิยามตัวเองกันทั้งนั้น

แม้ว่าเราเรียกคริสเตียนผิวขาวหัวทองหัวแดงจมูกโด่งในอเมริกา ยุโรป ออสเตรเลีย ว่า “ฝรั่ง” หรือ คนอินเดีย ปากิสถาน บังกลาเทศ ศรีลังกา อียิปต์ อิสราเอลว่า “แขก” เช่นเดียวกับที่ชาวตะวันตกเองเรียกว่าคนเอเชียว่าชาวตะวันออกแต่ไม่เรียกชาวออสซี่ เพื่อสร้างความเข้าใจง่ายๆจากตามรูปพรรณสัณฐานที่ปรากฏ ไม่ใช่พฤติกรรม รสนิยม บุคลิกภาพและgenderที่ปรากฏ เพราะมันลื่นไหลเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลาและแตกต่างกันไปตามบริบทสังคม

มันจึงไม่สามารถตีตราหรือstaffไว้ในกรอบของคำๆใดคำหนึ่งหรือชุดคำอธิบายอย่างใดอย่างหนึ่งได้เหมือนผักผลไม้ที่จะจำกัดความได้ง่ายๆ เหมือน แห้ว เป็นสมหวัง หรือ ลั่นทม เป็นลีลาวดี

และที่สำคัญ การสร้างคำและชุดอธิบายมันเป็นเรื่องของชนชั้น เพราะภาษา(Language)และกฎหมาย(Legal)ไม่เพียงมีที่มาจากรากเดียวกันคือLogos แต่เป็นสิ่งที่อยู่ในสถานะเดียวกันคือดำรงอยู่มาก่อนผู้ใช้และมีสภาพบังคับ แม้จะมีการกำหนดและเปลี่ยนแปลงตามบริบทสังคม แต่มักถูกกำหนดโดยผู้นำทางสังคม ไม่ใช่ผู้ตาม เหมือนการนิยามความหมายของวัฒนธรรมไทย สถาบันครอบครัว และ การถือกำเนิดของ การสร้างคำราชาศัพท์ คำสุภาพ "อำมาตยาธิปไตย" "ทักษิณาธิปไตย" "ไทยเข้มแข็ง" และ "เศรษฐกิจพอเพียง"

แม้ว่าคำนั้นจะถูกอ้างอิงโดยองค์กรระดับโลกอย่างองค์การอนามัยโลก-World Health Organization อย่างคำว่า “ผู้หญิงข้ามเพศ” (แต่เป็นการอ้างที่แปลมาจากคำประมาณว่า Transfemale, Trans sexual female Transwoman หรือ MTF-Transgender อีกที) เพราะมันเป็นคำที่อธิบายถึงโรคทางจิตเวชของผู้หญิงผู้หญิงเกิดมาที่มีอาการป่วยและผิดปรกติตรงที่มีไอ้จ้อนงอกออกมา เป็นโรคที่มีเนื้อร้ายคล้ายมะเร็ง ต้องรักษาด้วยการเฉือนทิ้งเท่านั้น ซึ่งมันใช้ได้ในประเทศโลกที่หนึ่งมากกว่าประเทศโลกที่สามอย่างไทยแลนด์ ที่การรักษาโรคภัยไข้เจ็บด้วยการผ่าตัดแปลงเพศจึงไม่ใช่เรื่องฟรี

นอกจากนี้ WHO เป็นอาณาจักรแห่งแพทย์ กระบวนการทำให้เป็นผู้หญิงข้ามเพศได้จึงมีทางเดียวคือต้องพึ่งศัลยแพทย์เท่านั้น ไม่ใช่ถอดจิตไปสิงในร่างผู้หญิงได้ แม้แต่คนที่เชื่อว่าจิตตนเป็นเพศหญิงที่อยู่ในร่างกายเพศชายเธอเองก็ต้องให้มีดหมอผ่าตัดทำจิ๋มด้วยสนนราคาที่แพงระยับซ้ำยังต้องให้หมอปรับแก้อยู่เรื่อยๆ

ด้วยเหตุนี้ “ผู้หญิงข้ามเพศ” จึงเป็นชุดอธิบาย ผู้หญิงที่เกิดมามีร่างกายผู้ชายและต้องการเปลี่ยนแปลงร่างกายให้ตรงกับจิตใจที่ดูเหมือนสะกดจิตตัวเองนั้น ที่ยังข้ามไม่พ้นการเป็นประเด็นปัญหาสังคมแม้แต่ในสังคมที่เชื่อว่า “จิตเป็นกายนายเป็นบ่าว” โลกแห่งจิตสูงส่งสำคัญกว่าโลกที่สัมผัสได้ทางกายมากพอที่จะสามารถควบคุมและมีอิทธิพลเหนือเนื้อตัวร่างกายได้ อย่างสังคมไทยในตอนนี้

...“ผู้หญิงข้ามเพศ” จึงกลายเป็น “ผู้หญิงอาเพศ” ไป...